วันที่นำเข้าข้อมูล 22 ก.ค. 2554
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 15 พ.ย. 2565
ส่องกล้องมองเศรษฐกิจ-การลงทุนแดนภารต
จาก สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
(
ภาพจาก www.google.com
อินเดียนับเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้บริโภคจำนวนมหาศาลกว่าพันล้านคน จึงกลายเป็นเค้กก้อนโตที่หอมหวาน ดึงดูดนักลงทุนทั้งรายเล็กและใหญ่จากหลายประเทศมุ่งหวังเข้ามาแบ่งเค้กชิ้นนี้กัน แต่ใช่ว่าทุกรายจะประสบความสำเร็จดังใจหวังทุกรายไป ดังนั้น การรู้เขา รู้เรา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะกำหนดแผนงานในการเจาะตลาดแห่งนี้กัน สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ จึงขยันสรรหาข้อมูลและเกร็ดความรู้ดีๆ มาฝากท่านผู้อ่านกันเป็นประจำ โดยล่าสุดได้ส่งตรงข้อมูลด้านการส่งออกและการลงทุนมาบอกเล่ากัน ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจอินเดียในปีงบประมาณ ค.ศ. 2010 2011
กระทรวงพาณิชย์อินเดีย เปิดเผยตัวเลขส่งออกในปีงบประมาณ ค.ศ. 2010 2011 ของอินเดียว่าขยับสูงขึ้นถึงร้อยละ 38 (ข้อมูลสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2554) คิดเป็นมูลค่า 246,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เดิมคือ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งออก อาทิ การแข็งค่าของเงินรูปี หรือการที่ประเทศตะวันตกซึ่งตลาดหลักยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกก็ตาม
ดังนั้น การที่อินเดียสามารถขยายการส่งออกได้เป็นอย่างดีนั้นย่อมมีปัจจัยเกื้อหนุนที่น่าสนใจ นั่นก็คือ การที่รัฐบาลอินเดียมุ่งขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ (newer markets) และเพิ่มการค้ากับประเทศต่างๆในภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น โดยอินเดียได้ขยายการส่งออกไปยังกว่า 40 ประเทศ ทั้งในเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา โดยได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแอฟริกา ซึ่งอินเดียได้ให้การช่วยเหลือทางการศึกษาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีควบคู่กันไป เพื่อเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน นอกจากนี้ การที่อินเดียได้จัดทำความตกลงเปิดเสรีทางการค้า (FTAs) และความตกลงการค้าพิเศษ (PTAs) กับหลายประเทศทั่วโลกก็มีส่วนช่วยให้ภาคการส่งออกกระเตื้องในทิศทางที่ดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ หากจะพิจารณาสถิติการส่งออกของอินเดียในปีงบประมาณ ค.ศ. 2011-2011 พบว่า สินค้าสาขาวิศวกรรมมีความสำคัญสูงสุดในอนาคต เนื่องจากมีการเติบโตถึงร้อยละ 85 สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของภาคการผลิตอุตสาหกรรมของอินเดีย ขณะที่สาขาอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้าขยับขยายตัวได้ดีเช่นกัน ส่งผลกระทรวงพาณิชย์อินเดียได้จัดทำยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการส่งออกเป็น 2 เท่าภายในปีงบประมาณ ค.ศ.2013-2014 โดยเจาะจงว่าจะส่งเสริมการส่งออกในสาขาวิศวกรรม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ยาและเวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งสนับสนุนในสาขาอื่นๆด้วย อาทิ ยานยนต์ คอมพิวเตอร์ วิศวกรรม software ผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อม และยานอวกาศ โดยเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงและมีมูลค่าเพิ่มมาก รวมทั้งยังจะเน้นรักษาการขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจของโลกที่มีประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการเติบโตอย่างต่อเนื่องดังกล่าว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า การส่งออกของอินเดียอาจไม่สดใสนัก เนื่องจากตลาดส่งออกหลักอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกายังไม่ฟื้นตัวดีจากผลของวิกฤตการณ์ทางการเงิน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่มีแรงงานราคาถูกอย่างจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และเม็กซิโกด้วย ดังนั้น ภาคการส่งออกของอินเดียจึงได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมาตรการส่งเสริมและขจัดอุปสรรคทางการส่งออก อาทิ การให้มีสิทธิพิเศษจูงใจในการส่งออก การจัดหาเครดิตเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการลดขั้นตอนในกระบวนการส่งออกและศุลกากรให้สั้นลง เพื่อที่จะประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาลอีกด้วย
สำเนาข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ Business India ประจำวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2011
FDI ทะลักสู่อินเดียหลังปล่อยมาตรการเอาใจนักลงทุน
ผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การลงทุนจากต่างประเทศลดลงอย่างมากในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา โดยในปี 2553 การลงทุนโดยตรงลดลงถึงร้อยละ 25 ส่งผลให้รัฐบาลอินเดียต้องสรรหามาตรการต่างๆ หวังดึงดูดนักลงทุนให้กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถลงทุนในกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่ที่จำหน่ายสินค้าหลายตราสินค้าได้ การอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติประเภทบุคคลสามารถลงทุนในกองทุนรวมของอินเดีย การผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุนของต่างชาติต่างๆอีกด้วย และก็สมหวังเมื่อตัวเลขสถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอินเดียในช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ปรากฎในสื่อของอินเดีย ระบุว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลถึงร้อยละ 111 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดของตัวเลขการลงทุน อาจเป็นเพียงเพราะการลงทุนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งคราวเท่านั้น เนื่องจากบริษัทน้ำมัน BP Plc. ของสหราชอาณาจักร ได้เข้าซื้อหุ้นจำนวนร้อยละ 30 ในกิจการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ และบริษัท Vodafone เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดจากหุ้นส่วนฝ่ายอินเดีย อีกทั้งบริษัท Vedanta ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในกิจการสำรวจแร่ธาตุจากบริษัทอินเดีย เป็นมูลค่า 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น คงเป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอินเดียได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว คอเศรษฐกิจทั้งหลายคงจะต้องรอดูกันในระยะยาวกันต่อไป ว่าสถานการณ์การลงทุนของอินเดียจะเป็นอย่างไร และจะฟื้นตัวจริงหรือไม่
สำเนาข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ของอินเดีย ประจำวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2011
วันทำการ : จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น.
(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)