ลู่ทางธุรกิจการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอินเดีย

ลู่ทางธุรกิจการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอินเดีย

วันที่นำเข้าข้อมูล 13 มิ.ย. 2554

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 15 พ.ย. 2565

| 2,176 view

ลู่ทางธุรกิจการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอินเดีย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี
http://www.thaiemb.org.in อีเมลล์ [email protected]

               สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ได้รายงานผลการประชุม Building Infrastructure: Challenges and Opportunities ที่จัดโดยบริษัท India Infrastructure Finance ร่วมกับ Planning Commission ของอินเดียเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 ณ Vigyan Bhawan กรุงนิวเดลี มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 
1. ภาพรวมเศรษฐกิจอินเดีย
              เศรษฐกิจอินเดียมีอัตราการเจริญเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 9 ในช่วงก่อนภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ และอยู่ที่ร้อยละ 6.7 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 2552 และต่อมาปรับขึ้นเป็นร้อยละ 7.2 ในปี 2552 2553  อย่างไรก็ดี คาดว่า อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ร้อยละ 8.5 ในปี 2553 - 2554 และร้อยละ 9 ในปี 2554 - 2555 ตามลำดับ ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียได้ตั้งเป้าการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ10 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้เกิดการสร้างงานและขจัดปัญหาความยากจนให้กับประชาชนในอนาคตได้
2.  นโยบายของรัฐบาลอินเดียต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
              2.1 รัฐบาลอินเดียได้กำหนดขอบเขตของคำว่า โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ว่า คือ โครงสร้างพื้นฐานในภาคส่วนที่ทันสมัยของเศรษฐกิจ อันหมายรวมถึงเส้นทาง-หลวง ถนนในชนบท รถไฟ การขนส่งทางอากาศและเรือ การชลประทาน พลังงานไฟฟ้า โทรคมนาคม การจัดหาน้ำ และการระบายน้ำเสีย 
              2.2 รัฐบาลอินเดียได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเดีย โดยเน้นการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นรูปธรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจัดโครงการในรูปแบบของหุ้นส่วนภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership - PPP) โดยเฉพาะในสาขาถนน  ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และพลังงานไฟฟ้า โดยมี Planning Commission เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิค และกระทรวงการคลังสนับสนุนด้านการพัฒนาขีดความสามารถ โดยรัฐบาลอินเดียมีนโยบายด้านการเงินกับการลงทุนในรูปแบบ PPP ดังนี้
                            (1) รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งโครงการ Viability Gap Funding (VGF) โดยให้เงินช่วยเหลือร้อยละ 20 ของค่าใช้จ่ายในการลงทุน ขณะนี้มี159 โครงการทั้งของรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐ วงเงินลงทุนจำนวน 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับอนุมัติเงินช่วยเหลือจาก VGF แล้วเป็นจำนวน 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 
                            (2)  India Infrastructure Finance Company (IIFCL) จะให้เงินกู้ยืม
ในระยะยาวร้อยละ 20 ของค่าใช้จ่ายในการลงทุนสำหรับโครงการที่ปฏิบัติได้จริง โดยปัจจุบัน IIFCL
ได้อนุมัติเงินกู้ยืมแล้วจำนวน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ 125 โครงการ ซึ่งได้แก่ ท่าอากาศยานในกรุงนิวเดลี เมืองมุมไบ โฮเดอราบาดและบังกาลอร์ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน 2 โครงการที่เมืองมุมไบ เป็นต้น 
              2.3 นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดีย ได้ขอให้กระทรวงการคลังและ Planning
Commission ยกร่างแผนปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายในการขยายการลงทุนในสาขาโครงสร้าง
พื้นฐานให้เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในแผนพัฒนาประเทศฯ ฉบับที่ 12 (ปี 2555 - 2560) และจัดตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรี (Cabinet Committee) สาขาโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมกับกำหนดให้ Planning Committee ปรึกษาหารือในรายละเอียดกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตั้งเป้าผลสำเร็จของแต่ละกระทรวงและหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดความสูญเสียและนำมาแก้ไขปรับปรุงต่อไป
              2.4 ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ของอินเดีย ได้แก่ (1) การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน (2) ปรับปรุงการดำเนินโครงการของภาครัฐ (3) นำเอกสารและกระบวนการที่ได้มาตรฐานมาปรับใช้เพื่อเร่งรัดการลงทุน (4) การให้เงินกู้ยืมสำหรับโครงการ PPP และ (5) การเร่งรัดส่งเสริมโครงการในรูปแบบ PPP
3.  แผนการลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐาน  รัฐบาลอินเดียได้กำหนดแผน การลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานไว้ในแผนพัฒนาประเทศ 5 ปี ฉบับที่ 11 (ปี 2550 - 2555) และฉบับที่ 12 (ปี 2545 - 2560) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
              3.1 รัฐบาลอินเดียได้ปรับแผนการลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานของแผนพัฒนาประเทศ 5 ปี ฉบับที่ 11 เป็น 5.14 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็นการลงทุนจากรัฐบาลกลางร้อยละ 34 จากรัฐบาลของแต่ละรัฐร้อยละ 30 และจากภาคเอกชนร้อยละ 36 โดยเน้นสาขาไฟฟ้า โทรคมนาคม ถนนและสะพาน การชลประทาน และการรถไฟ ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนจากภาคเอกชนในแต่ละสาขา ได้แก่ โทรคมนาคม ร้อยละ 82 ท่าเรือ ร้อยละ 80 ท่าอากาศยาน ร้อยละ 64 การไฟฟ้าร้อยละ 44 ถนน ร้อยละ 16 และการรถไฟ ร้อยละ 4  
              3.2 สำหรับแผนการลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานของแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 12 อยู่ที่ 1.025 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีรูปแบบการลงทุน ดังนี้ (1) การคงและขยายการลงทุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะในสาขาที่ไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการโดยภาคเอกชน อาทิ ถนนในชนบท (2) ใช้การลงทุนในรูปแบบ PPP เพิ่มขึ้นในสาขาที่คุ้มค่าต่อการดำเนินการโดยภาคเอกชน เช่น ถนน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน และรถไฟ (3) การลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อก่อให้เกิดการแข่งขัน อาทิ สาขาการผลิตพลังงาน สายการบิน รถไฟขนส่งสินค้าด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น 
4. สาขาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของอินเดียประกอบด้วย 7 สาขาหลัก ดังนี้
              4.1 สาขาถนน  ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เร่งดำเนินโครงการสร้างถนนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และรัฐซัมมู - แคชเมียร์
              4.2 สาขารถไฟ  การรถไฟอินเดียริเริ่มที่จะดำเนินโครงการทางรถไฟขนส่งเส้นทางระหว่างเดลี มุมไบ และเส้นทางลูเดียนา กัลกัตตา โดยการลงทุนส่วนมากเป็นภาครัฐ อย่างไรก็ดี รัฐบาลอินเดียต้องการสร้างรางรถไฟเพิ่มอีก 25,000 กิโลเมตรในอีก 10 ปีข้างหน้า และประสงค์จะหาหุ้นส่วนจากภาคเอกชนเพื่อสร้างรถไฟขนส่งสินค้า 5 สาย โดยเน้นเส้นทางภาคตะวันออกและภาคตะวันตกที่มีการจราจรหนาแน่น อาทิ สายเดลี-มุมไบ และเดลี-กัลกัตตา และได้เปิดให้บริษัท เอกชนเข้ามาบริหารการขนส่งตู้สินค้าด้วย รวมทั้ง มีแผนที่จะเปิดประมูลโครงการในรูปแบบ PPP สำหรับการก่อสร้างในสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ เส้นทางสายใหม่ การสร้างและปรับปรุงสถานีรถไฟ การนิคม ศูนย์โลจิสติกส์ ศูนย์รวมตู้สินค้าและ คลังสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดีย ยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า (Metro Rail) ในเมืองต่างๆ และการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงอีกด้วย 
              4.3 สาขาโครงสร้างพื้นฐานในเมือง รัฐบาลอินเดียตระหนักถึงความ
จำเป็นต้องขยายการลงทุนและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในเมืองอีกหลายด้านด้วยกัน ดังนั้น  จึงสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชนโดยใช้รูปแบบ PPP เป็นหลัก
              4.4 สาขาการบินพลเรือน  รัฐบาลอินเดียกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงท่าอากาศยานที่กรุงนิวเดลี เมืองมุมไบ เมืองกัลกัตตาและเมืองเจนไน อย่างไรก็ดี โดยที่อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ทั้งในแง่ของพื้นที่และจำนวนประชากร แต่ยังขาดการเชื่อมโยงทางอากาศที่ดีจึงจำเป็นต้องเพิ่มท่าอากาศยานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง โดยนำมาตรฐานสากลมาปรับใช้ และเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้าร่วมการประมูลและมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรม
การบินพลเรือนอินเดียด้วย 
              4.5 สาขาท่าเรือ  รัฐบาลอินเดียมีแผนที่จะขยายโครงสร้างพื้นฐานในสาขาท่าเรือ โดยรวมถึงการใช้การลงทุนในรูปแบบ PPP 
              4.6 สาขาการศึกษาและสาธารณสุข  การดำเนินการส่วนใหญ่เป็นของภาครัฐ อย่างไรก็ดี รัฐบาลอินเดีย ได้แสดงความเห็นว่า สามารถนำการลงทุนในรูปแบบ PPP มาปรับใช้ได้เช่นกัน โดยจะต้องสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการเข้าถึงการศึกษาและการสาธารณสุขของภาคส่วนที่ด้อยโอกาส 
              4.7 สาขาพลังงาน  ราคาพลังงานในอินเดียมีราคาสูงที่สุดในโลก โดยมีภาครัฐเป็นผู้ซื้อรายเดียว การขาดการแข่งขันและการเข้าถึงลูกค้าทำให้การลงทุนสาขาพลังงานไม่เพียงพอและก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน  รัฐบาลอินเดียจึงได้กำหนดนโยบายและมาตรการ ใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนของภาคเอกชนในการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้า อาทิ การอนุญาตให้ต่างชาติถืกรรมสิทธิ์ได้ร้อยละ 100  การให้สิทธิบริษัทเอกชนขายกระแสไฟฟ้าให้รัฐอื่นหรือท้องตลาดในกรณีที่รัฐผิดสัญญากับบริษัทหรือไม่จ่ายค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ อินเดียอยู่ระหว่างการปรับ เปลี่ยนโครงสร้างการบริหาร จากเดิมที่รัฐเป็นผู้ผลิตฝ่ายเดียว โดยจะส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทและเป็นเจ้าของบริษัทผลิตกระแสไฟฟ้ามากขึ้น โดยบริษัทเอกชนจะสามารถเพิ่มกระแสไฟฟ้าถึงร้อยละ 60 ของศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าของอินเดียภายในปี 2555 
              4.8 สาขาโทรคมนาคม  เป็นตัวอย่างสาขาที่ประสบความสำเร็จ โดยมีการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากภาคเอกชน ส่งผลให้มีการแข่งขันและการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ราคาค่ามือถือในอินเดียถูกที่สุดในโลก ปัจจุบันมีผู้จดทะเบียนใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 10 ล้านรายต่อเดือน
5. การประชุม Building Infrastructure: Challenges and Opportunities
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี 2549) โดยมี ดร. Manmohan Singh นายกรัฐมนตรีอินเดีย เป็นประธาน มีผู้บรรยายในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงรถไฟ เป็นต้น มีผู้เข้าร่วมประชุม มากกว่า 1,000 คน จากภาครัฐและเอกชนอินเดียและต่างประเทศ 
6. รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญกับบทบาทของภาคเอกชนในการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนพัฒนาประเทศฯ ฉบับที่ 12 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการแข่งขันและการเข้าถึงลูกค้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุน ดังนั้น จึงนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับภาคเอกชนไทยที่สนใจเข้าไปลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างและปรับปรุงท่าอากาศยาน ถนน สะพาน โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการด้านพลังงาน เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยและผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในสาขาโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียได้ที่เว็บไซต์ของ Planning Commission ที่ http://www.infrastructure.gov.in หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี e-mail:  [email protected] และทางเว็บไซต์http://www.thaiemb.org.in