สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี จัดสัมมนา เรื่อง Pakistan and Thailand Trade: Potential and Problems

สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี จัดสัมมนา เรื่อง Pakistan and Thailand Trade: Potential and Problems

วันที่นำเข้าข้อมูล 26 ต.ค. 2555

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 28 พ.ย. 2565

| 2,618 view

                                                                                  สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี จัดสัมมนา
                                                                เรื่อง Pakistan and Thailand Trade: Potential and Problems
                                                                                                                                                   สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี
                                                                                                                                                                        [email protected]

              ด้วยกระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี ว่าสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้จัดสัมมนาเรื่อง Pakistan and Thailand Trade: Potential and Problems) ขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ที่เมืองการาจี ซึ่งเป็นเวทีให้นักธุรกิจปากีสถานได้รับทราบ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโอกาสและศักยภาพในการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของไทยกับปากีสถาน
             รายงานของสถานกงสุลใหญ่ฯ ระบุว่า การค้าไทย-ปากีสถานยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยมูลค่าการค้ารวมยังอยู่ที่ระดับ ๑,๐๐๐ กว่าล้านบาท และไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอย่างต่อเนื่องในช่วง  ๓ - ๔ ปีที่ผ่านมา  สินค้าไทยที่ส่งออกไปปากีสถาน ได้แก่ รถยนต์ ชิ้นส่วนและอะไหล่ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์      โพลีเมอร์ ยาง ผลิตภัณฑ์ซินเทติกฟิลาเมนท์และไฟเบอร์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก รองเท้า เครื่องจักรและชิ้นส่วน  ส่วนสินค้าไทยที่นำเข้าจากปากีสถาน ได้แก่ เส้นด้าย ผ้า อาหารทะเลสดและแช่แข็ง อุปกรณ์และเครื่องมือทาง   การแพทย์และวิทยาศาสตร์ โดยปากีสถานนับว่าเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า ๑๘๐ ล้านคน  ถึงแม้ว่าประชากรส่วนใหญ่ยังคงยากจน แต่ก็มีประชากรที่มีรายได้สูงและมีชนชั้นกลางหลายสิบล้านคน
             ไทยและปากีสถานยังมีศักยภาพจะขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันอีกมาก  โดยเฉพาะการประกอบธุรกิจในลักษณะ joint venture ด้วยการพัฒนาความรู้ทางเทคโนโลยีและการบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากต้นทุนของปากีสถานซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์และแรงงานที่ยังคงมีอัตราค่าจ้างไม่สูงมาก  โดยปากีสถานต้องการความร่วมมือจากไทยด้านเทคโนโลยีการผลิตอุตสาหกรรม อาทิ การแปรรูปและการบรรจุผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ (ผักและผลไม้ / ข้าว ข้าวสาลีและเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ / เนื้อสัตว์ / กุ้ง ปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ)  การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์เครื่องมือเกี่ยวกับการขนส่ง    การผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร ธุรกิจอัญมณีและเทคนิคด้านการเจียระไน  และการสำรวจและการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
             ผลการสัมมนาระบุว่า เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น ไทยและปากีสถานควรเร่งรัดจัดทำความตกลง FTA ระหว่างกัน โดยแม้แต่นักธุรกิจปากีสถานยังเห็นว่า การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงมากของฝ่ายปากีสถานส่งผลให้ราคาสินค้าไทยสูงมาก ขาดความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจากจีน มาเลเซียและศรีลังกา ซึ่งต่างมีความตกลง FTA กับปากีสถานแล้ว  และควรส่งเสริมช่องทางสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชนสองฝ่าย อาทิ การเพิ่มความถี่ของการแลกเปลี่ยนการเยือนและพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและผู้แทนของภาคเอกชนสองฝ่าย การจัดตั้งสภาธุรกิจหรือหอการค้าไทย-ปากีสถาน หรือการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในปากีสถาน รวมถึงงาน Thailand Trade Show 2013 ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงธากา มีแผนจะจัดขึ้นที่เมืองการาจีช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ เพื่อทำให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายได้ทราบถึงโอกาสของการประกอบธุรกิจและลงทุนร่วมกัน ซึ่งรวมถึงความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับรายการสินค้าที่มีศักยภาพในตลาดของแต่ละฝ่าย อีกทั้งช่วยลดความรู้สึกไม่มั่นใจและเกรงกลัวอันตรายในหมู่ภาคธุรกิจไทยในการไปมาหาสู่เพื่อประกอบธุรกิจกับฝ่ายปากีสถาน อันเป็นผลจากการรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและความมั่นคงในปากีสถานจากสื่อสากลต่าง ๆ
             เชื่อได้ว่า ความพยายามของไทยและปากีสถานในการกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ        ให้มากยิ่งขึ้น และลดอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ทั้งในเชิงนโยบายด้านการผลักดันให้เกิด FTA ไทย-ปากีสถาน และการขยายเครือข่ายเพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าระหว่างภาคเอกชนสองฝ่ายให้มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะมีส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในภาพรวม              ให้แน่นแฟ้นและยั่งยืนต่อไปได้เป็นอย่างดี