วันที่นำเข้าข้อมูล 28 ธ.ค. 2554
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565
เจาะประเด็นการเปิดเสรีค้าปลีกของอินเดีย
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
(อีเมล์
ภาพจาก www.google.com
อุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน ขนาดของธุรกิจค้าปลีกคิดเป็นร้อยละ 22 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ และร้อยละ 8 ของการจ้างงาน โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา อินเดียได้มีมติเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติในธุรกิจค้าปลีกแบบหลายเครื่องหมายการค้า (multi-brand retail) ซึ่งได้รับการจับตามองจากทั่วโลก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ มีมูลค่ามหาศาลและเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างกว้างขวางทั้งที่สนับสนุนและคัดค้านอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าเรื่องนี้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเศรษฐกิจ การค้า และวิถีชีวิตของอินเดีย สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ จึงขอนำเสนอการวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆทั้งในทางบวกและลบมาฝากคอเศรษฐกิจทุกท่าน
ผู้ที่คัดค้านการเปิดเสรีได้แสดงความกังวลว่าธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กแบบดั้งเดิมของอินเดียที่มีสัดส่วนสูงถึงกว่าร้อยละ 90 จะล้มหายตายจากไปเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจค้าปลีกแบบทันสมัยได้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสนับสนุนมองว่า ที่ผ่านมาอินเดียก็มีการค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยบริษัทอินเดียอยู่แล้วและมีผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมไม่มากนัก เนื่องจากผู้ค้าปลีกมีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้ผู้บริโภคและมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับลูกค้า รวมทั้งการที่ตลาดค้าปลีกอินเดียก็มีขนาดใหญ่มากจึงเพียงพอแก่การค้าปลีกทุกรูปแบบ
นอกจากนั้น ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่มีต่อบริษัทธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่ของอินเดีย ที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรับการแข่งขันที่เข้มข้น อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มว่าบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของอินเดียจะใช้กลยุทธจับคู่ร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกต่างชาติที่สำคัญ อาทิ Walmart, Carrefour, Metro และ Tesco แทนการแข่งขันมากกว่า
ทางฝ่ายสนับสนุนเห็นว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกอย่างมาก ทั้งในแง่ความสะดวกสบายในการจับจ่ายสินค้าได้ทุกประเภทในจุดเดียว อีกทั้งยังมีสินค้าให้เลือกมากขึ้นและมีราคาถูกลง ชาวนาชาวไร่ก็สามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากการขายผลผลิตให้แก่ธุรกิจค้าปลีกที่เป็นระบบสมัยใหม่ขนาดใหญ่จะมีการไปรับซื้อถึงแหล่งผลิตเอง ทำให้ประหยัดค่าขนส่งและผลผลิตยังเสียหายน้อยลงอีกด้วย
ส่วนบริษัทผู้ผลิตสินค้าขนาดกลางและขนาดย่อมจะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรี เพราะตามระเบียบใหม่ได้กำหนดให้บริษัทธุรกิจค้าปลีกต่างชาติต้องจัดซื้อสินค้าอย่างน้อยร้อยละ 30 จากผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดย่อมของอินเดีย ซึ่งจะทำให้หลายบริษัทสามารถขยายกิจการได้ดี แต่ขณะเดียวกัน หลายธุรกิจก็จะได้รับผลกระทบจากการตีตลาดของสินค้าราคาถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน
อีกประเด็นสำคัญที่ลืมไม่ได้คือเรื่องแรงงาน ซึ่งการเปิดเสรีก็จะทำให้เกิดทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยแรงงานไร้ฝีมือในชนบทที่เป็นลูกจ้างในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะเดียวกัน ก็จะมีการสร้างตำแหน่งงานสำหรับแรงงานที่มีการศึกษาเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการค้าปลีกสมัยใหม่ โดยแรงงานเหล่านี้จะได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆในสาขานี้ด้วย
รัฐบาลอินเดียมีแนวโน้มจะเดินหน้าการเปิดเสรีค้าปลีกอย่างถึงที่สุด เนื่องจากเห็นว่า นอกจากจะมีประโยชน์ในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการพัฒนาระบบค้าปลีกของอินเดียให้ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาและการลงทุนด้านโลจิสติกส์ ห้องเย็น คลังเก็บสินค้า เป็นต้น รวมทั้งเพื่อเป็นการลดปัญหาเงินเฟ้อ จากความไม่มีประสิทธิภาพของระบบค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยพ่อค้าคนกลาง ซึ่งผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ในเรื่องนี้อย่างมาก
สำเนาข่าวตัดจากนิตยสาร Outlook และ Business India ประจำวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2011
วันทำการ : จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น.
(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)