วันที่นำเข้าข้อมูล 14 ธ.ค. 2554
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 28 พ.ย. 2565
อินเดียเปิดประตูต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
อีเมล์ [email protected]
(ภาพจาก www.google.com)
เป็นที่ทราบกันดี ปัจจุบัน อินเดียได้ก้าวสู่การเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของเอเชีย ด้วยขนาดของจำนวนประชากรประมาณ 1 พันล้านคน ซึ่งมีกำลังซื้อเติบโตตามสภาพทางเศรษฐกิจทีขนาดใหญ่ขึ้นและส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ส่งผลให้เป็นประเทศที่น่าจับตามองและเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญและน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ
ล่าสุด สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ จึงได้คัดสรรและส่งตรงข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับแผนส่งเสริมการลงทุนในอินเดียมาฝากท่านผู้อ่าน ให้รู้ลึกรู้จริงถึงโอกาสของนักลงทุนในตลาดแห่งนี้กัน
รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าวางแผนกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.2 โดยพยายามเสนอการเปิดเสรีให้บริษัทลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรง(Foreign Direct Investment FDI) โดยเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีกหลายเครื่องหมายการค้า (Multi-brand retail) และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของ FDI ในธุรกิจการค้าปลีกแบบเครื่องหมายการค้าเดียว (Single brand retail) และแล้วความพยายามก็เป็นผลเมื่อ รัฐบาลกลางอินเดียได้มีมติอนุญาตเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 ให้ FDI เข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีกในอินเดียได้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) บริษัทลงทุนต่างชาติ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า FDI สามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจการค้าปลีกแบบหลายเครื่องหมายได้ในสัดส่วนร้อยละ 51 ซึ่งแต่เดิม อินเดียไม่อนุญาติให้ FDI ประกอบธุรกิจค้าปลีกแบบหลายเครื่องหมายการค้าได้
2) FDI สามารถลงทุนในธุรกิจการค้าปลีกแบบหลายเครื่องหมายการค้าเดียวได้เป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 100 ซึ่งแต่เดิม อินเดียอนุญาตให้ FDI ลงทุนร้อยละ 51 อย่างไรก็ดี อยู่ภายใต้เงื่อนไขคือ บริษัทลงทุนต่างชาติต้องลงทุนอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถเปิดกิจการได้เฉพาะในเมืองที่มีจำนวนประชากรไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน (ในอินเดียมีอยู่ทั้งหมด 53 เมือง)
นอกจากนี้ เงินลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 50 ต้องนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่หน้าร้าน (back-end infrastructure) อาทิ คลังสินค้าและระบบห้องเย็น โดยผู้ลงทุนจะต้องจัดหาสินค้าและวัตถุดิบร้อยละ 30 จากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของอินเดีย ทั้งนี้ รัฐบาลในระดับต่างๆ ของอินเดียจะเป็นหน่วยงานอนุมัติขั้นสุดท้ายเนื่องจากการดำเนินโครงการจะต้องปฎิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น
การเปิดเสรีให้บริษัทลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรง ส่งผลให้ผู้บริโภคอินเดียลดค่าใช้จ่ายจากการบริโภคได้ร้อยละ 5-10 ส่วนภาคเกษตรกรรมได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10-30 รวมถึงสามารถสร้างงานใหม่ได้ถึง 3-4 ล้านตำแหน่ง มีการสร้างงานด้านโลจิสติกส์อีกประมาณ 4-6 ล้านตำแหน่ง รวมถึงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ คลังสินค้าและระบบห้องเย็นเพื่อถนอมอาหารต่างๆ ซึ่งรัฐบาลอินเดียจะมีรายได้จากการเก็บภาษีประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้นถึง 25-30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี ยังมีข้อโต้แย้งที่ต่อต้าน FDI ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกในอินเดีย โดยให้เหตุผลว่า อาจกระทบต่อร้านค้าปลีกรายย่อยในอินเดียซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากและจำนวนตำแหน่งงานอาจลดลง เนื่องจากแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบได้เปลี่ยนไปทำงานในระบบเพิ่มขึ้น สินค้าเกษตรกรรมมีอำนาจต่อรองด้านราคาสินค้าลดลง อาจมีการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน) มาจำหน่ายในอินเดียเพิ่มมากขึ้น
ท่านทราบไหม่ว่า ? ปัจจุบัน อินเดียมีการเจริญเติบโตในเขตเมืองอย่างรวดเร็วส่งผลให้ตลาดอินเดียมีตลาดค้าปลีกที่มีการเจริญเติบโตอย่างมากเป็นมูลค่าถึง 28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี อินเดียมีธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่(Organized retail) เพียงแค่ร้อยละ 5-7 ดังนั้น การที่รัฐบาลอินเดียอนุญาตให้ FDI ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกแบบหลายเครื่องหมายการค้าและการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกแบบเครื่องหมายการค้าเดียวดังกล่าว จะเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้ FDI อาทิ Wal-mart, Carrefour, Tesco, และ Metro AG เข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีกในอินเดียอย่างคึกคัก ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี นักธุรกิจไทยในสาขาค้าปลีกและค้าส่งควรให้ความสนใจที่จะเข้ามาศึกษาลู่ทางเพื่อส่งสินค้าไปจำหน่ายในตลาดอินเดียอย่างต่อเนื่องโดยอาจเริ่มใต้จากการเป็น Supplier ให้แก่ธุรกิจค้าส่ง (Cash and Carry) หรือธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ (organized retail) ที่กำลังขยายการลงทุนในอินเดีย จากนั้นจึงค่อยแสวงหาการลงทุนหรือร่วมลงทุนในธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ต่อไป
วันทำการ : จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น.
(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)