รายงานของเลขาธิการอังค์ถัดต่อที่ประชุมอังถัด ครั้งที่ 12

รายงานของเลขาธิการอังค์ถัดต่อที่ประชุมอังถัด ครั้งที่ 12

วันที่นำเข้าข้อมูล 1 พ.ค. 2555

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2564

| 6,179 view

รายงานของเลขาธิการอังค์ถัดต่อที่ประชุมอังถัด ครั้งที่ 12

เรื่อง โลกาภิวัตน์เพื่อการพัฒนา: โอกาสและความท้าทาย

 

บทนำ จากเมือง Midrand สู่กรุงอักกรา

 

จากความหวังสู่วิกฤต 1996 - 2001

ตั้งแต่การประชุมของอังค์ถัดที่เมือง Midrand ในปี ค.ศ. 1996 จนถึงการประชุมรอบ Uruguay และการก่อตั้ง WTO ได้จุดประกายความหวังให้กับประเทศกำลังพัฒนาซึ่งได้ นำไปสู่การเปิดตลาดการค้าตามกระแสโลกาภิวัตน์และการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของ ประเทศเหล่านี้ แต่หลังจากการเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ประเทศต่างๆ จึงตระหนักถึงผลเสียของการเปิดตลาดการค้าเสรีว่ามิได้เอื้ออำนวยต่อประเทศ กำลังพัฒนาแต่อย่างใด จึงได้มีการรองรับนโยบายใหม่ในเวทีประชุมต่างๆ เช่นการประชุม Millennium Summit ในปี 2000 และการประชุม International Conference on Financing for Development ในปี 2002 หรือการการรองรับนโยบาย Aid for Trade โดยคำนึงถึงความสามารถในการผลิตของประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น

 

ยุคเศรษฐกิจฟื้นฟู หลัง 2001

ยุคเศรษฐกิจฟื้นฟูในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีลักษณะเด่น 2 ประการ

1. ปัญหาความเท่าเทียมกันของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับจากกระแสโลกาภิวัตน์ เพราะถึง แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะดีขึ้น แต่ก็ยังมีบางประเทศที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตใน ครั้งนี้

2. การกำเนิดของโลกาภิวัตน์ยุคที่สอง ‘ใต้-ใต้’ กล่าว คือ ในขณะที่ช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าการค้าและการไหลเวียนของเงินทุนจะอยู่ระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในยุคนี้ ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะจีนและอินเดียเข้ามามีบทบาทในการเจรจาการค้าโลก ซึ่งทำให้เห็นความจำเป็นของการบัญญัตินโยบายที่มีความหลากหลาย

อย่าง ไรก็ดี การเจริญเติบโตในครั้งนี้มีความเสี่ยงบางประการ ได้แก่ การทำให้เกิดความไม่สมดุลของบัญชีเดินสะพัดโลก ค่าใช้จ่ายของการใช้พลังงานสูงขึ้น และนโยบายคุ้มครองการผลิตสินค้าในประเทศของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

 

บทที่ 1 ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใหม่และความท้าทายอย่างต่อเนื่อง 

 

ความก้าวหน้าที่สำคัญ

เศรษฐกิจโลกโดยรวมดีขึ้นตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา เช่น รายได้ของประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 71 ในช่วง 10 ปี ซึ่งผลดีของการเจริญเติบโตนี้ ทำให้ประเทศต่างๆ มีอัตราการจ้างงานที่สูงขึ้น หรือรักษาอัตราการว่างงานมิให้เพิ่มขึ้น

            ปัจจัย ที่มีส่วนในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ได้แก่ การส่งออกของประเทศกำลังพัฒนาที่เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าตัว ซึ่งทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้มีบทบาทมากขึ้นในเวทีการค้าโลก โดยเพิ่มจาก   ร้อยละ29 เป็นร้อยละ 34 ในระยะเวลาเพียง 10 ปี

            นอก จากนี้ การค้าระหว่างกลุ่มประเทศ ใต้-ใต้ ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลไปยังการเพิ่มรายได้และมิให้บัญชีเดินสะพัดของประเทศดังกล่าวขาดดุล อย่างแต่ก่อน เช่น กลุ่มประเทศ sub-Sahara Africa, อเมริกาใต้ และยุโรปตะวันออก

            ความสัมพันธ์ระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดการขาดดุลของบัญชีเดินสะพัด และ emerging surplus regime ใน ยุคเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์นี้มีปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ 1) การที่ประเทศบราซิล และอาร์เจนตินาใช้เงินสกุลอิงค่าเงินเหรียญสหรัฐ และลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นการส่งออก และ 2) การที่ราคาสิ่งอุปโภคบริโภคสูงขึ้นในพัฒนาการด้านการผลิตเครื่องอุปโภค บริโภค

นอก จากนี้ หลังพ้นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยต่างๆก็ผลักดันให้เกิดความเฟื่องฟูทางด้านการลงทุน และเกิดการขยายตัวของความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศในกลุ่มประเทศกำลัง พัฒนา

 

ความหวาดหวั่น

            การเปิดตัวเข้าสู่ตลาดโลกของบางประเทศและการมีตัวแปรใหม่ๆ ที่มีอำนาจสูงขึ้นทำให้ประเทศต่างๆไม่ว่าจนหรือรวยเกิดความหวั่นเกรง

ในกรณีของประเทศพัฒนาแล้ว สิ่งที่ทำให้หวั่นกลัวมาจากการที่จีนและอินเดียเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการส่งออก Offshoring of information-driven services สู่ประเทศกำลังพัฒนา การย้ายโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงไปตั้งในประเทศที่มีอัตราการจ้างงานต่ำ และปริมาณแรงงานที่มีอยู่จนล้นเหลือในกลุ่มประเทศนี้ ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าจะส่งผลเป็นลูกโซ่จากอัตราการจ้างงานต่ำ สู่ผลกำไรที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้คำจำกัดความของ “ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” มี ความหมายเปลี่ยนไป และทำให้ประเทศพัฒนาแล้วเกิดความไม่ไว้ใจประเทศกำลังพัฒนา จึงมีการตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับมาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้น

            ใน กรณีของประเทศกำลังพัฒนา สิ่งที่ทำให้หวั่นกลัวมาจากสาเหตุที่แตกต่างออกไป อย่างเช่น ผลกำไรจากการเปิดการค้าเสรีเป็นไปอย่างช้า การที่ประเทศพัฒนาแล้วควบคุมตลาดโลก การขาดแคลนโครงสร้างการส่งออก การพึ่งพาเงินทุนต่างชาติ การพึ่งพาทางด้านเทคโนโลยี หรือการต้องใช้การลดระดับความจนเป็นข้อต่อรองในการเจรจา

            แต่ ถึงกระนั้นก็ดี ผลดีของกระแสโลกาภิวัตน์ที่มีจุดกำเนิดจากความต้องการและราคาของสิ่งอุปโภค บริโภคสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตมีความสามารถในการเจรจาต่อรองทางการค้ามากขึ้น

           

ความท้าทายอย่างต่อเนื่อง

ถึง แม้ว่าสมรรถนะของประเทศกำลังพัฒนาโดยรวมจะดีขึ้น แต่ก็ยังคงมีประเทศด้อยพัฒนาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่ากับ ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น ประเทศใน sub-Sahara Africa ซึ่งปริมาณการส่งออกลดลงจากร้อยละ 2.5 ในปี ค.ศ. 1960 เป็นร้อยละ 0.5 ในปี ค.ศ. 1995

จะ เห็นว่าในประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมิได้ช่วยลดปัญหาความยากจนของประชากร เนื่องจากความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตรกรรมต่ำ และปัญหาการจ้างแรงงานนอกกิจกรรมการเกษตรน้อยลง

            นอก จากนี้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเดียวกันก็มีความแตกต่างกันมากขึ้น อย่างเช่น ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ในขณะที่ อาร์เจนตินา โบลิเวีย ปานามา เอลซัลวาดอร์ และอุรุกวัย มีอัตราการค้าเพิ่มขึ้น ประเทศอื่นๆ ในทวีป เช่น ชิลี โคลัมเบีย เม็กซิโก เป็นต้น กลับยากจนลง

            ด้วย เหตุนี้ จึงเกิดความคิดว่าระบบการค้าเสรีไม่สามารถตอบสนองความต้องการของยุคปัจจุบัน ได้ จำเป็นที่จะต้องหาระบบใหม่ที่มีสร้างความสมดุลและเป็นธรรมระหว่างการจัดการ ตลาดโลก อธิปไตยของรัฐ กฎหมาย และกฎข้อบังคับระหว่างประเทศ

            เมื่อ มีความเชื่อว่าหลักเศรษฐศาสตร์ที่รู้จักกันทั่วไปไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิด ขึ้นในปัจจุบันได้ เช่นระบบบูรณาการที่ใช้กับประเทศกำลังพัฒนาอาจทำให้เกิดความเสี่ยงและความ ล้มเหลวของเศรษฐกิจได้อย่างที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียประสบในปี ค.ศ. 1997 จึงเป็นสาเหตุของการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง และเกิดความคิดที่จะนำหลักการนี้มาปรับใช้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง ต้องอาศัย ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง ในการนำวิชาต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอนได้ทรงเน้นย้ำเป็นแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ

           

ความขัดกันของการเคลื่อนย้ายเงินทุน

ใน ระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา การไหลเวียนของกระแสเงินทุนโลกเป็นไปในทางกลับกันจากที่เคยเป็นมา กล่าวคือ ประเทศกำลังพัฒนากลายเป็นผู้ส่งออกเงินทุนในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วเป็น ผู้นำเข้าเงินทุน

วิธี ที่จีนและอินเดียนำมาใช้หลังจากวิกฤตทางเศรษฐกิจได้แก่ การผลิตโดยใช้เทคโนโลยีสูงแต่แรงงานต่ำ ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกหรือประเทศที่พัฒนาแล้วแต่ อย่างไร

ดัง การปฏิบัติที่ปรากฎในประเทศต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก มีการยอมรับการลงทุนของต่างชาติไม่ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาแล้ว ก็ตาม สำหรับประเทศกำลังพัฒนานั้น สิ่งที่น่าแปลกคือ ถึงแม้จะมีการลงทุนของต่างชาติมากขึ้น แต่ประเทศเหล่านี้ก็ยังคงเป็นผู้ส่งออกเงินทุนผู้เดียว

 

จาก “การได้ราคาที่ถูกต้อง” สู่ “การได้การพัฒนาที่ถูกต้อง”

            แผนปฏิรูปทิศทางการตลาด (“Getting the prices right’” หรือ Washington Consensus) ที่ประเทศกำลังพัฒนานำมาใช้ในช่วงปี ค.ศ. 1980-1990 โดยหลักการคือ การที่รัฐแทรกแซงน้อยลง จะส่งเสริมการเพิ่มเงินทุน ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ได้ปรากฎให้เห็นข้อบกพร่องเมื่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เกิดวิกฤตปลายทศวรรษ 1990

            จาก บทเรียนดังกล่าวทำให้เกิดความคิดว่า สภาพความเป็นอยู่และรายได้ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และความสำเร็จของระบบบูรณาการ ขึ้นอยู่กับการใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาคเชิงรุก รวมทั้งนโยบายทางการค้าและอุตสาหกรรม ซึ่งมีกุญแจสำคัญคือการลงทุน โดยจะต้องสร้างปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ และการสนับสนุนให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่น่าเชื่อถือมีปริมาณ เพียงพอ และคุ้มค่าสำหรับการลงทุน ดังนั้น นโยบายเกี่ยวกับการเงินจะส่งผลต่อการลงทุน และจะกำหนดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

            ใน หลักการพัฒนาตามแบบทุนนิยมนั้น ความสามารถในการแข่งขันจะสำเร็จก็ต่อเมื่อมีการลงทุนรูปแบบใหม่ ควบคู่ไปกับการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์และความสามารถในการผลิตที่สูงขึ้น โดยจะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุน การค้า การเงิน และเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วก็จะได้กำไรออกมา และกำไรนี้เองที่จะช่วยยกระดับชีวิตของประชากร 

 

บทที่ 2 ความสอดคล้องในการกำหนดนโยบายโลก: ระบบพหุภาคีบนจุดเปลี่ยน

 

ความไม่สมดุลย์ในระบบ (systemic imbalance) ของการเงินโลก และระบบการค้าใหม่

ความไม่สมดุลในระบบของการเงินโลกเกิดจาก “สงครามทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” กล่าวคือการแข่งขันระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อแย่งชิงตลาด ทำให้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ ได้แก่ ระบบการ ค้าแบบใหม่ โดยรัฐใช้นโยบายการเพิ่มค่าแรงและการให้ความช่วยเหลือทางสังคม เช่น เงินสนับสนุน หรือการลดหย่อนภาษีเป็นแรงจูงใจในการกระตุ้นสมรรถนะการแข่งขันของชาติ ถึงแม้ว่าองค์กรระหว่างประเทศจะพยายามป้องกันการแข่งขันดังกล่าวซึ่งจะมีผล เสียในระยะยาวแต่ก็ยังไม่สามารถหาแผนปฏิบัติการที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

      ตัวอย่าง ของความไม่มั่นคงของระบบบูรณาการคือการขาดดุลอย่างมหาศาลของสหรัฐฯ ในขณะที่จีนได้ดุลการค้า ถึงแม้จะมีการคิดหาทางลดความไม่สมดุลด้วยวิธีเปลี่ยนแนวทางของตลาดเงินตรา แต่ผลที่ได้มักจะไม่เป็นไปตามที่คิด ดังตัวอย่างของวิกฤตการณ์ทางการเงินหลังยุค Bretton Woods ที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อกระตุ้นการลงทุน

           

กรณีของความพยายามระดับพหุภาคีในด้านการเงินโลก

เนื่อง จากอัตราแลกเปลี่ยนมีผลอย่างมากกับสมรรถนะการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้า โลก จึงควรมีแผนปฏิบัติการที่จะกำหนดแนวทางในการปฏิบัติของประเทศต่างๆ กล่าวคือ ป้องกันการแทรกแซงการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ค่าจ้าง ภาษี หรือเงินสนับสนุน          

            การ จัดทำแผนปฏิบัติการนี้ควรจะมาจากความร่วมมือแบบพหุภาคี กล่าวคือ จัดตั้งองค์กรทางการเงินเพื่อกำหนดและบังคับใช้เงื่อนไขเกี่ยวกับอัตราการ แลกเปลี่ยน และความร่วมมือในระบบการเงินโลกก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความร่วมมือใน ระบบการค้าพหุภาคี โดยจะต้องกำหนดเงื่อนไขบนฐานของความเสมอภาคของทุกชาติ และหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่ไม่สุจริต

สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังต้องพึ่งเงินจากต่างประเทศ ความร่วมมือแบบพหุภาคีไม่ว่าจะเป็นทางศีลธรรม การเมือง และการเงิน

 

การให้เงินทุนอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาต่อไป

            เงิน ช่วยเหลือที่ประเทศกำลังพัฒนาได้รับเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและการลดความยากจน ในปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากนโยบายให้ความช่วยเหลือประเทศยากจนใน การปลดหนี้

            ประเทศผู้ให้เงินช่วยเหลือสามารถมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงการจัดการเรื่องหนี้สิน ตัวอย่างเช่นการที่ IMF และ ธนาคารโลกได้พัฒนาระบบ debt sustainability framework (DSF) สำหรับ ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ โดยมีจุดมุ่งหมายในการวัดวามเสี่ยงทีเกิดจากหนี้ และการตัดสินประเทศที่จะได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา

            แนว โน้มสำคัญประการหนึ่งคือ การกู้ยืมโดยบริษัทเอกชน ในปี ค.ศ. 2006 มีบริษัที่กู้ถึงร้อยละ 41 ของจำนวนเงินกู้ทั้งหมด โดยมีประเทศหลักคือ ประเทศในยุโรปตะวันออก และเอเชียกลาง ซึ่งการกู้ยืมของบริษัทเอกชนอาจเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเสี่ยงให้กับบริษัทของตนเองจากการที่อัตราดอกเบี้ย สูงขึ้น หรือความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ การที่บางบริษัทนำเงินกู้มาให้กู้ต่อภายในประเทศอาจทำให้เกิดสถานะทางการ เงินที่ไม่มั่นคง รัฐควรจะต้องควบคุม

            การประชุมที่จะมีขึ้นที่กรุงโดฮา ในปี ค.ศ. 2008 มี เป้าหมายเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา และหานโยบายใหม่ที่สามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน กล่าวคือ การจัดตั้งระบบที่จะเอื้ออำนวยแก่ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น

 

การปรับปรุงความไม่ได้สัดส่วนในระบบการค้าพหุภาคี

  1. การเจรจารอบโดฮาบนจุดเปลี่ยน

                        การ เจรจาที่จะมีขึ้นที่กรุงโดฮา จะต้องเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยการเสนอแนวทางเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนเพื่อรองรับกับความ ท้าทายของกระแสโลกาภิวัตน์ ปัจจัยสำคัญที่จะต้องคำนึงถึง ได้แก่ 1) การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดการส่งออกสินค้า และเครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งการบริการ 2) ปรับปรุงกฎข้อบังคับพหุภาคีเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลและเพิ่มความเป็นธรรมและ ความเสมอภาคในระบบการค้าพหุภาคี 3) ให้ประเทศต่างๆ มีอิสรภาพในการจัดการเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจของตน 4) ส่งเสริมความสามัคคีและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาคมโลก และ 5) ส่งเสริมความสอดคล้องของความตกลงทางการค้าในภูมิภาคและระบบการค้าพหุภาคี

                        ในปัจจุบัน มาตราการกีดกันที่มิใช่พิกัดศุลกากรเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับควบคุมและปกป้องระบบการค้า แต่จะให้ความคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่าการคุ้มครองผู้ผลิตดังที่เคยทำในอดีต

  1. การแพร่ขยายของความตกลงเพื่อการบูรณาการในภูมิภาค

                        ปัจจุบันการบูรณาการภายในภูมิภาคมีมากขึ้น โดยเฉพาะความตกลงทางการค้าระหว่างภูมิภาค การค้าระหว่างคู่ภาคี RTA ครอบคลุมร้อยละ 45 ของการค้าโลก ในปี ค.ศ. 2010 คาดว่าน่าจะมีความตกลงดังกล่าวถึง 400 ฉบับ

                        ความ ร่วมมือที่ดีในภูมิภาดจะช่วยส่งเสริมการคุ้มครองผู้ดำเนินการที่อ่อนแอ และจะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทในการจัดระบบเศรษฐกิจโลกมากขึ้น

 

บทที่ 3 ประเด็นการค้าและการพัฒนาที่สำคัญในเศรษฐกิจโลกยุคปัจจบัน

 

การก่อตั้งกลุ่ม “ใต้ใหม่” (the new South)

กลุ่ม “ใต้ใหม่” ประกอบด้วยประเทศที่มีการเติบโตทางการค้าและการลงทุนสูง มีธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ที่หลากหลายและอยู่ในระดับโลก ปัจจุบัน การค้าในกลุ่มใต้-ใต้ มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น โดยมูลค่าการค้าระหว่างกัน ตั้งแต่ปี 2538-2548 เพิ่มขึ้น 3 เท่า คิดเป็นส่วนแบ่งการส่งออกสินค้าร้อยละ 15 ของตลาดโลก และร้อยละ 46 ของตลาดภายในประเทศ กำลังสำคัญที่ผลักดันการค้าในกลุ่มใต้ - ใต้ ได้แก่ จีน อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏการณ์นี้จำเป็นต้องได้รับการประเมินและเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำได้โดยเลียนแบบแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด (best practices) ด้าน การค้า ได้แก่ การส่งเสริมขีดความสามารถด้านการผลิต การสร้างและการเชื่อมต่อสาธารณูปโภค การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการปรับปรุงและสร้างสถาบันในทุกระดับ เป็นต้น

กลุ่มเหนือสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์ด้วยการให้สิทธิพิเศษในการเข้าสู่ตลาด ส่งเสริมการใช้กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าในกลุ่มใต้ - ใต้ และให้ความช่วยเหลือเพื่อการค้า (Aid for Trade packages) ส่วนอังค์ถัดสามารถช่วยกลุ่มใต้ - ใต้ได้ด้วยการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้ระบบข้อมูลการค้า การใช้ระบบสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (GSTP) และการพัฒนาสถาบันเพื่อส่งเสริมการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ บริการ และการผลิตในกลุ่มใต้ - ใต้

 

ความมั่นคงด้านพลังงาน

แม้ว่าความต้องการใช้พลังงานในประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากจำนวนประชากรและการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศเหล่านี้กลับประสบปัญหาไม่สามารถเข้าถึงพลังงาน เป็นที่คาดกันว่า ในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ความต้องการใช้พลังงานในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะสูงถึงครึ่งหนึ่งของความ ต้องการโลก ทำให้ต้องเพิ่มการลงทุนในสาธารณูปโภคด้านพลังงานกว่า 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบอย่างมาก ทั้งต่อประเทศผู้นำเข้าและผู้ส่งออกน้ำมัน กล่าวคือ ประเทศกำลังพัฒนาผู้นำเข้าน้ำมันที่มีรายได้ปานกลางต้องรับภาระค่าน้ำมันและ ค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ประสบปัญหาการส่งออกและภาวะเงินเฟ้อ เป็นผลให้ GDP ลด ลง ส่วนประเทศผู้ส่งออกน้ำมันก็ต้องบริหารจัดการผลกำไรอย่างรอบคอบเพื่อกระจาย รายได้ ไม่สร้างปัญหาเศรษฐกิจ และไม่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันมากเกินไป

ดังนั้น ความมั่นคงและการสร้างสมดุลย์ทางพลังงานจึงเป็นนโยบายสำคัญของทุกประเทศ การใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (renewable energy) จำ เป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับชาติและระดับโลก อย่างไรก็ตาม การกำหนดมาตรฐานการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องปรับให้เข้า กับสถานการณ์และยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ เนื่องจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิต การค้า และการบริการ ทั้งนี้ ทางเลือกหนึ่งคือ การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels) ซึ่งรัฐบาลควรกำหนดนโยบายที่เหมาะสมและประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด

 

การโยกย้ายถิ่นฐานและการพัฒนา : การบูรณาการของแรงงาน

ปัจจุบัน มีการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วมีความต้องการแรงงานวัยรุ่นและแรงงานที่มีทักษะ กอรปกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การคมนาคมขนส่งและการสื่อสารที่ทันสมัย การเติบโตของธุรกิจภาคแรงงานใหม่ๆ และความได้เปรียบเรื่องค่าแรงและกำลังการผลิต ทั้งนี้ ความท้าทายอยู่ที่การทำให้แน่ใจว่าการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานจะก่อให้เกิด ผลดีมากกว่าผลเสีย ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ความต้องการแรงงานในภาคต่างๆ เพื่อกำหนดนโยบายที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานของ แรงงานอย่างเป็นระบบ เช่น ดูแลกฎระเบียบการจ้างงาน การตรวจลงตรา และการสร้างเครือข่ายความมั่นคงทางสังคม (social safety net) โดยนโยบายดังกล่าวควรเน้นเพื่อปรับปรุงการผ่านเข้าออกอย่างถูกกฎหมายของแรง งานชั่วคราว มากกว่าการห้ามมิให้แรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งจะก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายตามมา ดังปรากฏในหมวด 4 ของการเจรจารอบโดฮา

ใน ประเทศผู้รับ วิธีลดกระแสต่อต้านแรงงานต่างด้าว ได้แก่ การให้คำมั่นว่าแรงงานเหล่านั้นจะพำนักอยู่เพียงชั่วคราว ส่วนประเทศผู้ส่งควรใช้ประโยชน์จากค่าแรงและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งนี้ อังค์ถัดจะร่วมมือกับ Global Migration Group (GMG) เพื่อ ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลทั่วโลกและสร้างความเข้าใจอันดีในสังคม เนื่องจากอังค์ถัดเชื่อว่าการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานจะทำให้ประเทศผู้รับ และผู้ส่งได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (win-win situation) และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม

 

ภาคบริการ : โฉมหน้าใหม่ของการค้าและการพัฒนา

การ ปรับปรุงเศรษฐกิจภาคบริการมีความสำคัญและช่วยเพิ่มศักยภาพการค้าในภาคสินค้า เนื่องจากช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันและให้ประโยชน์ด้านการพัฒนา (development gain)   ซึ่งไม่สามารถหาได้จากการส่งออกสินค้าเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ปี 2537 เป็น ต้นมา แม้ว่าเศรษฐกิจภาคบริการในประเทศกำลังพัฒนาจะเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่กลับกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ประเทศ กล่าวคือ ร้อยละ 75 ของธุรกิจบริการทั้งหมดอยู่ในเอเชีย ขณะที่ร้อยละ 10 อยู่ในแอฟริกา และร้อยละ 15 อยู่ในละตินอเมริกาและคาริบเบียน โดยกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) มีส่วนแบ่งในตลาดบริการคิดเป็นร้อยละ 0.8 เท่านั้น 

การ เจรจาด้านบริการรอบโดฮาได้ให้ช่องทางในการเปิดเสรีการค้าบริการจากมุมมองของ ประเทศกำลังพัฒนา โดยการเปิดเสรีการบริการที่เอื้อต่อการพัฒนานั้นจำเป็นต้องพิจารณาจังหวะที่ เหมาะสมและการปฏิรูปที่เป็นขั้นตอน ทั้งนี้ สิ่งสำคัญก่อนการเปิดเสรีภาคบริการในประเทศกำลังพัฒนาคือ การมีกฎระเบียบและสถาบันที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐบาลจะต้องหานโยบายที่เหมาะสมที่สุดกับระบบเศรษฐกิจ สังคม และระดับการพัฒนาของแต่ละประเทศต่อไป

 

สินค้าโภคภัณฑ์ : แนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน

ประเทศ กำลังพัฒนาพึ่งพารายได้และการจ้างงานส่วนใหญ่จากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ปัญหาหลักคือ มักมีความไม่สมดุลย์ระหว่างอุปสงค์กับอุปทานของตลาดโลก เนื่องมาจากการอุดหนุนการส่งออกและการบิดเบือนการค้าในประเทศอุตสาหกรรมบาง ประเทศ อีกสาเหตุหนึ่งคือ  แรงกด ดันจากประเทศยากจนที่ต้องการเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งๆ ที่ตลาดโลกมีราคาตกต่ำ ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา เกิดการขยายตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ (“commodity boom”)   ทำ ให้ราคาสินค้าวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงยังคงตกต่ำกว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาราวร้อยละ 30  

สิ่ง ที่ทุกฝ่ายควรทำคือ การลงทุนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างสาธารณูปโภคและเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศ กำลังพัฒนา ทั้งนี้ โครงการความช่วยเหลือเพื่อการค้า (Aid for Trade) จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าโภคภัณฑ์ดั่งเดิม และให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ผลิตรายเล็กที่อาจได้รับผลกระทบหากเกิดภาวะวิกฤติ (“shocks”) นอกจากนี้ ที่ประชุม Global Initiative on Commodity ในการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12 ที่กรุงบราซิเลีย เมื่อวันที่ 7-11 พฤษภาคม 2550 ได้ออกระเบียบวาระเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านสินค้าโภคภัณฑ์ระดับ โลกอีกด้วย 

 

สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการพัฒนา : ความท้าทายเบื้องหน้า

ประเด็นเรื่องการค้า สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องได้รับการพิจาณาควบคู่กันไป หนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เนื่องจากประเทศยากจน จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งๆ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด ซึ่งมาตรการในพิธีสารเกียวโตจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนา เช่น การคมนาคมขนส่ง การใช้พลังงาน และการเกษตร

ปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยอ้อมกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ข้อเรียกร้องใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และความปลอดภัยอาหาร (EHFSRs) ในการเข้าสู่ตลาดส่งออกของประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากข้อเรียกร้องเหล่านี้กลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส โดยเฉพาะมาตรฐานของภาคเอกชน ซึ่งเชื่อว่าขัดต่อหลักของ WTO และอาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและการเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาข้อเรียกร้องเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของ ภาคเอกชน ซึ่งมักกีดกันประเทศและผู้ส่งออกขนาดเล็ก ทำให้เกิดปัญหาความยากจน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสให้ประเทศและผู้ส่งออกที่สามารถรักษาสิ่งแวด ล้อมและพลังงาน โดยสรุปแล้ว สินค้า บริการ และแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจ และจะกลายเป็นตลาดใหม่ของประเทศที่กำลังพัฒนา

 

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการค้าและความสามารถในการแข่งขัน

ประเด็นสำคัญประการแรกคือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICTs) ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ติดต่อสื่อสาร และส่งสินค้าและบริการได้ทันเวลา อีกประเด็นหนึ่งคือ การเติบโตของธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลและคลังสินค้า ซึ่งต้องพึ่งพาระบบการจัดการที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ กลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ติดทะเล (LLDCs) ยังคงต้องการสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมขนส่งขั้นพื้นฐานอย่างมาก ซึ่งนานาชาติควรให้ความสนับสนุน

 

บทที่ 4 การสร้างความเข้มแข็งด้านขีดความสามารถในการผลิต การค้า และการลงทุน : สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย

 

          การ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อเศรษฐกิจจำเป็นต้องดำเนินการทั้งใน ระดับโลก โดยการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมแบบเปิดและเสมอภาค และในระดับประเทศเพื่อสร้างความเจริญเติบโต กระตุ้นการลงทุนและการสร้างนวัตกรรม มีรายละเอียดดังนี้

 

แนวทางระดับโลกและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย

            นโยบายที่สำคัญ ได้แก่

  1. ความร่วมมือแบบใต้ – ใต้

                  ประชาคมโลกและอังค์ถัดสามารถช่วยส่งเสริมการค้าแบบใต้ - ใต้ และสนับสนุนกลุ่มใต้ใหม่ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกระแสโลกาภิวัตน์ โดยประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ การปฏิรูปกฎระเบียบ และสถาบัน และการเปิดเสรีการค้าใต้ - ใต้ในรูปของเขตการค้าเสรี ส่วนความท้าทาย ได้แก่ การเจรจาเรื่องระบบสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (GSTP) ซึ่ง หากเจรจาสำเร็จจะช่วยเพิ่มการมูลค่าการค้าทั้งในและระหว่างภูมิภาค นอกจากนี้ ประเด็นที่ต้องผลักดัน ได้แก่ การลงทุนในด้าน การพัฒนาและวิจัย (R&D) และแผนความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อการค้าและการพัฒนา เป็นต้น

  1. เงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และความตกลงด้านการลงทุนระหว่างประเทศ

                  ความตกลงด้านการลงทุนระหว่างกลุ่มใต้ - ใต้ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมีกลไกพหุภาคีที่ดูแลเรื่องการลงทุนและการบูรณาการในระดับภูมิภาคมากมาย อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอยู่ที่การเชื่อมโยงนโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องกัน การรักษาสมดุลย์ระหว่างสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศเจ้าบ้านกับของผู้ลงทุน และการเสริมสร้างมิติด้านการพัฒนาในความตกลงด้านการลงทุนระหว่างประเทศ (IIAs) โดยต้องจัดการกับประเด็นเหล่านี้อย่างสอดคล้องและโปร่งใส

  1. สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา

                  นโยบายเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาต้องรักษาสมดุลย์ระหว่างผลประโยชน์เจ้าของลิขสิทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม ในขณะเดียวกัน ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้วควรมีความยืดหยุ่นตามที่ WTO กำหนดไว้ใน TRIPS นอกจากนี้ นานาประเทศควรร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการวิจัย การกระจายและการถ่ายทอดความรู้ในฐานะที่เป็นสมบัติของคนทั้งโลก โดยคำนึงถึงประเทศที่ยากจนเป็นหลัก

  1. โครงการความช่วยเหลือเพื่อการค้าและการพัฒนา

                  เป็นจุดเริ่มต้นแบบก้าวกระโดดเพื่อสร้างวัฏจักรของการค้า การเสริมสร้างขีดความ สามารถใน การผลิต ความเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศกำลังพัฒนา สิ่งสำคัญคือ ต้องใช้ประโยชน์จากความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (ODA) อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปในเชิงรุก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และต้องพัฒนากลไกด้านงบประมาณเพื่อให้โครงการดังกล่าวปฏิบัติได้จริง

 

นโยบายระดับชาติเพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย

นโยบายระดับชาติควรมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ในภาพรวม ทุกประเทศควรเน้นหลักการเดียวกัน กล่าวคือ 1) มีนโยบายเพื่อส่งเสริมความเติบโตของเศรษฐกิจมหภาค 2) เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและเพิ่มความหลากหลายให้เศรษฐกิจ และ 3) มีภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย โดยแนวนโยบายต่างๆ มีดังนี้

 

  1. แนวทางปฏิบัติด้านการค้าและนโยบายอุตสาหกรรม

                  ความ เติบโตทางเศรษฐกิจนั้นนอกจากจะสัมพันธ์กับการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แล้ว ยังขึ้นอยู่กับพลวัตในการลงทุนและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเทคโนโลยีการ ผลิตด้วย ดังนั้น หน้าที่ของนโยบายภาครัฐคือ สนับสนุนบทบาทของบริษัทเอกชน แก้ไขปัญหาในการรวบรวมเงินทุนและความสามารถในการผลิต ทั้งนี้ รัฐควรมีกฎระเบียบและกลไกทางกฎหมายที่เหมาะสมเพื่อทำให้ FDI เข้ามาพัฒนาประเทศและสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

  1. บทบาทของสถาบันตามหลักธรรมาภิบาล

                  หน้าที่ของสถาบันคือ การลดต้นทุนการดำเนินการ (transaction cost) เพื่อ สร้างตลาดใหม่และทำให้ตลาดเดิมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นโยบายเศรษฐกิจที่ดีควรสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับนานาชาติ โดยประเมินจากความสำเร็จของประเทศที่พัฒนาแล้ว

  1. เงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และบรรษัทข้ามชาติ

                  ประเทศกำลังพัฒนาควรใช้ FDI เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของตนและพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ควรตระหนักว่า FDI มี ความเสี่ยงและไม่อาจทดแทนการลงทุนในประเทศได้ ดังนั้น นโยบายหลักควรเน้นการสร้างภาคเอกชนที่มีศักยภาพ ปรับปรุงคุณภาพการบริการสาธารณูปโภค ส่งเสริมเทคโนโลยีและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล รักษาความสามารถในการแข่งขันของตลาด เพิ่มความโปร่งใส และมีกฎระเบียบที่ได้มาตรฐาน เป็นต้น สิ่งสำคัญคือ การมีนโยบาย ที่สอดคล้องและต่อเนื่องกัน โดยมีเป้าหมายระยะยาวเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มและอยู่บนพื้นฐาน ความรู้ ทั้งนี้ ที่ประชุมสุดยอด G8 ณ เมือง Heiligendamm ได้ขอให้ UNCTAD และ OECD ช่วยพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่ง UNCTAD จะได้ดำเนินการต่อไป

  1. การกระตุ้นธุรกิจในประเทศ

                  ทุกฝ่ายควรช่วยสร้างความเติบโตให้ภาคเอกชนในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดย ในระดับชาติ ควรเน้นนโยบาย ดังนี้ 1) ส่งเสริมการพัฒนาทักษะและนวัตกรรม ซึ่งต้องมีทั้งสาธารณูปโภคที่ดีและการพัฒนาทักษะเฉพาะทางต่างๆ 2) ปรับปรุงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงิน 3) สร้างนักวิชาชีพและการบริการด้านการบัญชี และการประกันภัยที่มีคุณภาพ และ 4) พัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรม

  1. การปฏิบัติในการแข่งขันทางธุรกิจ

                  ประเทศ กำลังพัฒนามักประสบปัญหาในการจัดการกับพฤติกรรมที่ขัดต่อการแข่งขันทาง ธุรกิจ เช่น การควบรวมกิจการ และการตกลงราคาขายร่วมกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องส่งเสริมกการบังคับใช้ และเพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศในการกำหนดกฎหมายและนโยบายในประเด็นดังกล่าว

  1. การขนส่ง สาธารณูปโภค และการอำนวยความสะดวกทางการค้า

                  ใน ภาพรวม แต่ละประเทศควรแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางกายภาพและทางเทคนิคที่เพิ่มค่าใช้จ่ายใน การติดต่อธุรกิจ และควรสนับสนุนการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคเพื่อการขนส่งและการเก็บสินค้า นอกจากนี้ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการจัดการของภาครัฐจำเป็นต้องได้มาตรฐาน สากล และต้องตรวจสอบและวางกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารสาธารณูปโภคด้านการขนส่ง ที่ทำโดยภาคเอกชน ทั้งนี้ ในระดับประเทศ รัฐบาลควรทบทวนกฎระเบียบเพื่อให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และปฏิรูปบริการด้านการขนส่งให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ส่วนใน ระดับโลก ควรมีการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบที่สอดคล้องกัน

  1. เทคโนโลยี นวัตกรรม ความรู้ และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย

                  การพัฒนาเทคโนโลยีจะช่วยลดปัญหาผลตอบแทนที่ลดลง (diminishing returns) ของ การสะสมเงินทุนและช่วยปรับปรุงความสามารถในการผลิตของแรงงาน การเข้าถึงและการกระจายความรู้ ในฐานะที่เป็นสมบัติส่วนรวมของโลก มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ดังนั้น ความท้าทายจึงอยู่ที่การควบคุมการนำความรู้ไปใช้โดยกลุ่มต่างๆ ซึ่งควรมีการพัฒนาสถาบัน นโยบาย และกฎระเบียบในเรื่องดังกล่าวในระดับชาติ และเพิ่มความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการแบ่งปันความรู้และการเรียนรู้ในระดับโลก

  1. นโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

                  นโยบายด้าน ICT ในระดับประเทศที่ดีควรเน้นยุทธศาสตร์ที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้ยากไร้ การออกกฎหมายและกฎระเบียบ การพัฒนาบริการแบบ e-government การ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีราคาถูกและมีคุณภาพ นอกจากนี้ แต่ละประเทศยังต้องทบทวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ ศึกษาและเฝ้าระวังผลกระทบจากแผน ICT อย่างสม่ำเสมอด้วย

 

บทที่ 5 การเสริมสร้างบทบาทของอังค์ถัด ผลกระทบ และประสิทธิภาพ

 

            ใน ฐานะที่เป็นศูนย์ประสานงานหลักขององค์การสหประชาชาติในด้านการค้าและการ พัฒนา อังค์ถัดมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อข้อห่วงกังวลของประเทศกำลังพัฒนาและส่ง เสริมการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างกลุ่มเหนือกับกลุ่มใต้ ดังนั้น การส่งเสริมประสิทธิภาพขององค์กรจึงเป็นสิ่งจำเป็น ตั้งแต่การประชุมอังค์ถัดครั้งที่ 11 เป็นต้นมา ประเทศสมาชิกได้ให้ข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาเสาหลักทั้งสามขององค์กร นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิ (panel of eminent persons) เพื่อ ให้คำแนะนำเรื่องการส่งเสริมบทบาท ผลกระทบ และประสิทธิภาพของอังค์ถัด ซึ่งในการประชุมอังค์ถัดครั้งที่ 12 ก็จะจัดให้มีการหารือเรื่องการดังกล่าวด้วย

 

การปรับปรุงหลักการทำงานของอังค์ถัด

  1. การวิเคราะห์และวิจัย

                  งาน วิจัยของอังค์ถัดมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เกิดการปรับปรุงนโยบายในหมู่ ประเทศสมาชิก และเป็นทางเลือกให้รัฐบาลและนานาชาติในการกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนา โดยงานวิจัยจะปรับตามลักษณะเฉพาะของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ อังค์ถัดยังสามารถเพิ่มผลงานด้วยการพัฒนาขีด ความสามารถในการตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อจะได้ให้คำแนะนำด้านนโยบายที่เหมาะสมและทันท่วงทีแก่สมาชิก ในขณะเดียวกัน อังค์ถัดก็ควรปรับปรุงการทำงานให้มีมิติที่กว้างขึ้นและเข้าถึงเป้าหมายในทุกระดับ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ซึ่งทำให้ต้องสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานด้านการพัฒนาในประเทศกำลังพัฒนา

                  การส่งเสริมบทบาทของการวิจัยของอังค์ถัดควรคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ได้แก่ การทำวิจัยเชิงลึก การเชื่อมโยงประเด็นต่างๆ ที่สำคัญต่อ LDCs และความร่วมมือแบบใต้ - ใต้ การร่วมมือกับหน่วยงานอื่นใน UN และ เครือข่ายวิจัยทั่วโลก และการใช้ประโยชน์จากงบประมาณส่วนเกินเพื่อวิเคราะห์ปัญหาใหม่ๆ เป็นต้น ซึ่งวัตถุประสงค์ในระยะยาวคือ การทำให้อังค์ถัดเป็นศูนย์การวิจัย และการสนับสนุนด้านนโยบายชั้นนำ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

  1. กลไกแบบระหว่างรัฐ

                  กลไกแบบระหว่างรัฐของอังค์ถัดควรเน้นการปฏิบัติ (action-oriented) และเน้นการ   เฝ้า สังเกตความเปลี่ยนแปลงด้านการค้า การเงิน การลงทุน เทคโนโลยี และการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเป้าหมายหลักคือ การช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนามีทางเลือกด้านนโยบายที่หลักแหลม นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกยังเห็นพ้องกันว่า การประชุมต่างๆ ของอังค์ถัดควรก่อให้เกิดฉันทามติและเน้นผลเพื่อ  การ พัฒนา โดยเสาหลักระหว่างรัฐนี้ควรเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับเสาหลักด้านการ วิเคราะห์และวิจัย และควรใช้ประโยชน์จากการกลไก โดยเฉพาะการประชุมผู้บริหารคณะกรรมการของอังค์ถัด

                  คณะกรรมการด้านการค้าและการพัฒนาควรมีระเบียบวาระการประชุมที่กว้างขึ้นและควรสนับสนุนการทำงานของ UNGA โดยให้ข้อมูลเพื่อประกอบการออกข้อมติด้านการค้าและ การพัฒนา ทั้งนี้ ตารางการประชุมของคณะกรรมการฯ ควรสอดคล้องกับตารางการประชุม GA และคณะกรรมการฯ ควรมีบทบาทในการติดตามการปฏิบัติตาม MDG และ ผลการประชุมอื่นๆ นอกจากนี้ อังค์ถัดกำลังพิจารณาข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมการใหม่ โดยให้ประเทศสมาชิกพิจารณาการตั้งคณะกรรมการฯ ที่มีวาระ 4 ปี ส่วนการประชุมผู้เชี่ยวชาญนั้น ควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงวิเคราะห์และต้องส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้ร่วมประชุม อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้คือ ประเทศกำลังพัฒนาขาดเงินสนับสนุนในการส่งผู้เชี่ยวชาญมาเข้าร่วม ซึ่งจำเป็นต้องหาทางออกที่ถาวรต่อไป

  1. ความร่วมมือด้านเทคนิค

                  ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ แนวคิดเรื่อง UN ที่เป็นหนึ่งเดียว (“One United Nations”) ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อให้ UN มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหน่วยงาน ใน UN ต่าง เรียกร้องให้สร้างความสอดคล้องในระดับประเทศ อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากที่อังค์ถัดพบ ได้แก่ ปัญหาจากหน่วยงานที่ไม่มีผู้แทนอยู่ในประเทศ (non-resident agency) ความ ช่วยเหลือด้านการค้าที่ถูกลดความสำคัญลง และงบประมาณส่วนเกินที่ไม่เป็นระบบ ทั้งนี้ อังค์ถัดพยายามแก้ไขปัญหา โดยเสนอให้จัดตั้งกลุ่มภาคการค้าและการผลิต (“trade and productive sectors” cluster)เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรด้านการค้าและการพัฒนาอื่นๆ เช่น UNIDO, FAO, ITC และ WTO มาร่วมกันเพิ่มแรงกระตุ้นแก่ประเทศต่างๆ และเสนอโครงการความร่วมมือด้านเทคนิค เป็นต้น

                  ประเด็นสำคัญประเด็นที่สอง ได้แก่ ข้อริเริ่มเรื่องการช่วยเหลือเพื่อการค้า (Aid for Trade) ซึ่ง รวมถึงความช่วยเหลือด้านเทคนิคเพื่อสร้างขีดความสามารถในการกำหนดนโยบายการ ค้า ที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ การเข้าร่วมการเจรจาการค้า และการบังคับใช้ความตกลงทางการค้า เป็นต้น ทั้งนี้ อังค์ถัดสามารถให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคได้ในทุกขั้นตอนของการค้า จึงสามารถมีบทบาทนำได้ โดยสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มคือ การใช้โครงการชุด (packages of programmes) ซึ่ง เน้นเฉพาะสาขาที่เป็นแกนหลัก ทั้งนี้ อังค์ถัดควรขยายความร่วมมือด้านเทคนิคให้กว้างขวาง ทั้งในหมู่ประเทศผู้รับและประเทศผู้ให้เงินช่วยเหลือ และต้องสังเกตและประเมินความมีประสิทธิภาพของกิจกรรม ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาควรแจ้งความต้องการให้ฝ่ายเลขาธิการทราบ และประเทศที่พัฒนาแล้วก็ควรเพิ่มเงินสนับสนุนให้แก่กองทุนเพื่อความช่วย เหลือด้านเทคนิคของอังค์ถัดด้วย

 

การส่งเสริมบทบาทของอังค์ถัดในประเด็นที่เกิดขึ้นใหม่

            ตัวอย่างของประเด็นดังกล่าว ได้แก่

  1. ความต้องการพิเศษด้านพัฒนาของกลุ่มประเทศต่างๆ

อังค์ถัดจะช่วย UN หาสาเหตุของปัญหาความไม่คืบหน้าในการบรรลุ MDG และให้คำแนะนำด้านนโยบายเพื่อช่วยให้ LDCs สามารถดำเนินการตาม MDG ต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการด้านการค้าและการพัฒนายังสามารถให้ข้อเสอนแนะเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศที่มีรายได้น้อยอีกด้วย

  1. ความร่วมมือแบบใต้ - ใต้ ในยุคใหม่

อังค์ถัดจะเพิ่มความช่วยเหลือแก่กลุ่มใต้ - ใต้ โดยเน้นตอบสนองต่อโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ อีกทั้งจะส่งเสริมการบูรณาการทางการค้าในระดับภูมิภาค หาทางออกเพื่อขยายการค้าใต้ - ใต้ ปรับปรุงระบบข้อมูลและกลไกการวิเคราะห์ให้ทันสมัย และสนับสนุนความตกลงเรื่อง Global System of Trade Preferences among Developing Countries เป็นต้น

  1. เศรษฐกิจการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

โดย ที่ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับตัวสูงขึ้น อังค์ถัดจะให้ความสนับสนุนด้านการวิเคราะห์และการสร้างขีดความสามารถเพื่อ ปรับปรุงการเข้าสู่ตลาดของประเทศขนาดเล็กและยากจน ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านการผลิตและการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ และปรับปรุงการจัดการทรัพยากรแร่ธาตุ เป็นต้น นอกจากนี้ ความช่วยเหลือเพื่อการค้ามีความสำคัญมาก โดยอังค์ถัด จะให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นต่อการพัฒนากลไกเพื่อลดผลกระทบระยะสั้นจากการผันผวนของตลาด และให้ความสนับสนุนด้านการเงินแก่โครงข่ายความมั่นคงต่างๆ

  1. นัยด้านการค้าและการพัฒนาของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

อังค์ ถัดจะช่วยสะท้อนประเด็นต่างๆ เช่น ผลกระทบของนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศต่อความสามารถในการแข่งขันทางการ ค้า โดยเฉพาะด้านพลังงาน โอกาสทางการค้าที่เกิดจากมาตรการเพื่อแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการส่งเสริมการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาภายใต้กลไกการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมตามพิธีสารเกียวโต เป็นต้น

  1. การโยกย้ายถิ่นฐาน

อังค์ ถัดสามารถช่วยประเทศสมาชิกในการรวมนโยบายด้านการบูรณาการตลาด แรงงานเข้ากับยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาในระดับชาติและระดับโลก และช่วยสร้างความเข้าใจและฉันทามติระหว่างผู้นำรัฐบาลในการสร้างสมดุลย์ของประโยชน์ที่เกิดจากการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงาน

  1. ความมั่นคงด้านพลังงาน

อังค์ ถัดสามารถช่วยประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในการจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาธุรกิจ พลังงานให้เป็นกลไกที่สร้างพัฒนาการและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และช่วยประเทศผู้นำเข้าน้ำมันในการแสวงหาความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค การจัดซื้อ และการบริหาร เงินและบริหารความเสี่ยง เป็นต้น

  1. มิติด้านการค้าและการพัฒนาของการฟื้นตัวหลังวิกฤติเศรษฐกิจ

อังค์ ถัดสามารถช่วยกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ประเทศ ที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจสามารถบูรณาการเข้าสู่ตลาดโลกและสามารถรับ มือกับปัญหาเศรษฐกิจจากภายนอกได้ ทั้งนี้ ควรมีความร่วมมือด้านเทคนิค เช่น ด้านสถาบัน กฎหมาย และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่ไปกับความช่วยเหลือด้านนโยบายและการวิจัยจากอังค์ถัดด้วย

  1. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

อังค์ถัดควรทำการวิจัยแบบเน้นนโยบาย (policy-oriented research) โดย ศึกษาประเด็นที่เกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และควรเพิ่มการวิเคราะห์เรื่องบทบาทและผลกระทบของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี การสื่อสารที่มีต่อการพัฒนา โดยเน้นเรื่องเศรษฐกิจข้อมูลข่าวสาร ทรัพย์สินทางปัญญา และการให้เงินสนับสนุนเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังควรให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคแก่ประเทศสมาชิก เช่น ช่วยทบทวนนโยบาย และส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างนักวิจัยและผู้กำหนดนโยบาย เป็นต้น

  1. อุปสรรคใหม่ทางการค้าและการลงทุนของประเทศกำลังพัฒนา

อังค์ถัดได้ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นใน UN เพื่อ แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคอื่นๆ เช่น การกีดกันไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งควรได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบเพื่อให้การติดต่อค้าขายระหว่างกันมี ความยุติธรรม

  1. ความช่วยเหลือเพื่อการค้าและการพัฒนา

ความ คืบหน้าของโครงการความช่วยเหลือเพื่อการค้าไม่ควรนำมาเชื่อมโยงกับความคืบ หน้าของการเจรจารอบโดฮา และควรเน้นปรับคำมั่นสัญญาดังกล่าวให้กลายเป็นผลในทางปฏิบัติ ที่ผ่านมา อังค์ถัดมีประสบการณ์ในการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคเพื่อการค้าและการพัฒนามากมาย เช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จากประเทศกำลังพัฒนา การประเมินผลกระทบจาก NTB การสนับสนุนมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการช่วยร่างกฎหมายและนโยบายด้านการแข่งขัน เป็นต้น

 อังค์ ถัดสามารถช่วยประเทศกำลังพัฒนาได้อีก โดยใช้วิธีการต่างๆ อาทิ การทบทวนนโยบายการลงทุน การจัดทำยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และการพัฒนา ภาคธุรกิจเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าสู่ตลาดที่มีอยู่เดิมและตลาด ใหม่ได้อย่างเต็มที่

 

การส่งเสริมบทบาทของอังค์ถัดในการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ

ความพยายามที่จะส่งเสริมบทบาทของอังค์ถัดในการปฏิรูป UN ยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเป้าหมายหลักคือ การพัฒนา อังค์ถัดจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามข้อมติที่ 19 ของ UNGA เมื่อปี 2507 ในการให้คำปรึกษาด้านนโยบายและให้ความช่วยเหลือเพื่อสร้างขีดความสามารถแก่ประเทศสมาชิก ทั้งนี้ GA จำเป็นต้องปกป้องมิให้อังค์ถัดถูกลดอำนาจและบทบาท (wasteful “mandate creep”) รายงาน ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาบทบาทของอังค์ถัดในการส่งเสริมความร่วม มือระหว่างประเทศด้านการค้าและการพัฒนา และช่วยประเทศกำลังพัฒนาจัดการกับปัญหาและโอกาสที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์ ข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยให้อังค์ถัดกลายเป็นศูนย์การวิเคราะห์และวิจัยชั้น แนวหน้า เป็นกลไกระหว่างรัฐที่สร้างผลในทางปฏิบัติ เป็นผู้สนับสนุนหลักในการทำงานของ GA และเป็นองค์กรระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในด้านการค้าและการพัฒนาต่อไป