รายงานของ Eminent Persons Panel (EPP) ของอังค์ถัด
เมื่อเดือนตุลาคมปี 2548 เล ขาธิการอังค์ถัด (ดร.ศุภชัย พาณิชภักดิ์) ได้จัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญขึ้นประกอบด้วยอดีตผู้นำประเทศ นักวิชาการที่มีชื่อเสียง อาทิ นาย Fernando Henrique Cardoso อดีตประธานาธิบดีบราซิล นาง Tarja Halonen ประธานาธิบดีฟินแลนด์ นาย Benjamin Mkapa อดีตประธานาธิบดีแทนซาเนีย นาย Gro Harlem Brundtland อดีตนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์และอดีตเลขาธิการองค์การอนามัยโลก ศ.ดร. Jagdish Bhagawati นักวิชาการจาก ม. โคลัมเบีย และนาย Long Yongtu เลขาธิการ Boao Forum for Asia และอดีตผู้แทนการค้าจีน เป็นต้น โดย EPP ได้นำเสนอผลรายงานต่อเลขาธิการอังค์ถัด เมื่อมิถุนายน 2549 และ มีวัตถุประสงค์หลักในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของอังค์ถัด เพื่อเพิ่มพูนบทบาทด้านการพัฒนาขององค์กร โดยให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการกรุงเทพฯ (Bangkok Plan of Action) และปฏิญญาเซาเปาโล (Sao Paolo Consensus)
ทั้งนี้ รายงานของ EPP ไม่ได้นำเสนอแบบองค์รวม และไม่ใช่รายงานเชิงลึกในแต่ละหัวข้อ แต่มีลักษณะเป็นแนวความคิดที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ (pragmatic ideas) เพื่อ แก้ปัญหาและความท้าทายต่างๆ ของอังค์ถัดในประเด็นด้านยุทธศาสตร์ขององค์กรซึ่งสะท้อนถึงแนวความคิดเกี่ยว กับความท้าทาย ด้านการพัฒนาและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเนื่องจากกระแสโลกาภิวัตน์
รายงานของ EPP ประกอบด้วยข้อแนะนำ (recommendations) ทั้งหมด 21 ข้อ ดังนี้
-
อังค์ถัดต้องเป็นผู้นำในการระบุและวิเคราะห์ประเด็นร่วมสมัยที่สำคัญ เช่น Aid for Trade, Skills availability และ Brain drain กรอบงานด้านการลงทุนเพื่อการพัฒนา โดยสนับสนุนผลที่สามารถนำมาปฏิบัติได้สำหรับความท้าทายด้านการพัฒนาในปัจจุบันและอนาคต
-
ผู้บริหารองค์กรของสหประชาชาติทุกหน่วยงานควรลงนามในข้อตกลงที่ผูกพันให้แต่ละองค์กรทำงานในขอบเขตหลัก (core competencies) ของตนเท่านั้น เพื่อมีส่วนร่วมในแนวปฏิบัติ UN system-wide coherence ในระดับประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายสหัสวรรษ
-
ขอบเขตงานหลักของอังค์ถัดควรได้รับการสานต่อและขยายเพื่อสะท้อนความเกี่ยวโยงกัน การจัดกลุ่มกิจกรรมของ UN ภาย ใต้หัวข้อการพัฒนา สิ่งแวดล้อม และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิผลที่จะจัดการ กับประเด็นหลักด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
-
อังค์ถัดควรตั้งอยู่บนพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ (ก) ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantages) (ข) ความแตกต่างและการส่งเสริมกันและกัน (differentiation and complementarity) และ (ค) การเข้าแทรกแซงเชิงยุทธศาสตร์และเพื่อกระตุ้น (strategic and catalytic intervention) ทั้งนี้ เพื่อใช้จุดแข็งขององค์กรเพื่อบรรลุผลด้านการพัฒนา
-
อังค์ถัดควรสร้างความเป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริงกับองค์การระหว่างประเทศต่างๆ และหน่วยงานของ UN ที่จะช่วยเสริมความพยายามของอังค์ถัดผ่านการเพิ่มความร่วมมือและประสานงาน โดยมีเป้าหมายที่จะหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน
-
อังค์ถัดควรเพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและภาคเอกชนมากขึ้น โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษรากหญ้า NGOs และ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนา
-
อังค์ถัดควรพิจารณาสร้างเครือข่ายระดับโลกของ think tanks ที่ เชี่ยวชาญด้านการสนับสนุนและการสร้างยุทธศาสตร์ของนโยบายการพัฒนาในประเทศ ที่แตกต่างกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อการแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ
-
อังค์ถัดควรปรับปรุงคุณภาพและความสอดคล้องของการทำวิจัยและการวิเคราะห์เชิงการเมืองโดยการสร้างกลุ่มเพื่อหารือ (consultative group) ประกอบด้วยนักเศรษฐศาสตร์การพัฒนาชั้นนำเพื่อทบทวนและแนะนำผลของอังค์ถัดในหัวข้อวิจัยหลัก
-
อังค์ถัดควรสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผลผลิตหลักด้านการวิจัย (“Flagship” research products) และ งานศึกษาวิจัยหลัก โดยจำกัดการเผยแพร่ข้อมูลที่มีความสำคัญน้อยและสร้างการสื่อสารและการกระจาย ข้อมูลอย่างมีประสิทธิผลเพื่อจะสามารถเข้าถึงผู้จัดทำนโยบายระดับสูง
-
รัฐสมาชิกควรเอาชนะทัศนคติที่จะเผชิญหน้ากัน (confrontational attitudes) และพยายามสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และ comfort zone ที่จะหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของการเป็นพันธมิตรเพื่อการพัฒนาและความสำเร็จร่วมกัน
-
ระบบกลุ่มควรสงวนไว้สำหรับการตัดสินใจในเรื่องยุทธศาสตร์ แต่ควรจะเพิ่มความยืดหยุ่น มากขึ้นในการพิจารณาของ think tanks และการสร้างฉันทามติเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาโดยเฉพาะเพื่อการแก้ปัญหาที่เน้นการปฏิบัติได้จริง
-
อังค์ถัดควรพิจารณาการตั้งกองทุน Secretary-General Trust Fund เพื่อ เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการเข้าร่วมการประชุมของผู้เชี่ยวชาญจากประเทศกำลัง พัฒนา รวมทั้งการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการทวิภาคีด้านความช่วยเหลือด้านพัฒนา
-
กลไกระหว่างรัฐบาลของอังค์ถัดควรเป็นผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญและง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาการพัฒนา โดยอาจใช้รูปแบบบัญชีของแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ checklists แนวทางรวบรวมมาตรฐานต่างๆ หรือหลักปฏิบัติ (set of criteria or principles) และกรอบงานในลักษณะแบบจำลอง (model frameworks)
-
การประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Expert Meetings) ควรเปลี่ยนเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญถาวร (Standing Expert Groups) โดยมีวาระ 2-4 ปี และแต่ละกลุ่มเน้นศึกษาประเด็นการพัฒนาหลักที่แตกต่างกัน โดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อให้ได้ทางแก้ปัญหาที่นำไปปฏิบัติได้
-
คณะกรรมการของอังค์ถัดจะได้ประโยชน์จากการลดขนาด โดยอาจรวมคณะกรรมการ (1) ด้านการค้าและ (2) ด้านการลงทุน โดยอาจตั้งคณะกรรมการที่ 3 ซึ่งดูแลด้านเทคโนโลยี
-
การพิจารณาหารือของคณะกรรมการด้านการค้าและการพัฒนาของอังค์ถัด (UNCTAD’s Trade and Development Board) ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมของหน่วยงานด้านการพัฒนาต่างๆ ในลักษณะ multi-stakeholder dialogue ทั้งนี้ส่วน high-level segment ที่ไม่มีประสิทธิผล ควรเปลี่ยนเป็น Global Forum for Trade, Investment and Development
-
ควรพิจารณาการจัดการประชุมราย 2 ปี โดยเน้นหัวข้อการพัฒนาเชิงกว้างในแต่ละครั้ง การเตรียมการสำหรับการประชุมควรทำให้สั้นลงและมีประสิทธิผลขึ้น
-
อังค์ ถัดควรเพิ่มการมีส่วนร่วมในกลไกระดับประเทศสำหรับความช่วยเหลือด้านวิชาการ และโครงการพัฒนาระดับภูมิภาค รวมทั้งในกรอบเป้าหมายสหัสศวรรษ
-
ความ ช่วยเหลือด้านวิชาการของอังค์ถัดควรอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเลิศด้าน วิชาการในประเด็นนโยบายเศรษฐกิจ อังค์ถัดควรรวบรวมโครงการกว่า 400 โครงการของอังค์ถัดเข้าด้วยกันเป็นเพียง 4 – 5 โครงการความร่วมมือหลักโดยเน้นหัวข้อกว้าง (overarching themes) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกระทบสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพและความสอดคล้อง อังค์ถัดควรที่จะกระจายฐานด้านทุนของตนด้วย
-
อังค์ถัดควรพิจารณาจัดตั้งคณะที่ปรึกษา (advisory body) สำหรับ ความช่วยเหลือด้านวิชาการประกอบด้วยผู้แทนจากองค์กรที่เป็นผู้ให้และผู้รับ ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา เพื่อให้คำแนะนำแก่เลขาธิการอังค์ถัดในการยกร่างยุทธศาสตร์เชิงสถาบันเพื่อ ความร่วมมือด้านวิชาการและทบทวนผลกระทบต่อโครงการนี้
-
องค์ถัดควรสร้าง synergy ระหว่าง 3 เสาหลักขององค์กร โดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลไกหลักสำหรับความร่วมมือในแนวนอนและแนวขวาง ทั้งนี้ อาจตั้งกลุ่มงานแบบสหวิทยาสาขา (multi-disciplinary teams) ที่ จะตอบสนองต่อความจำเป็นที่ปรากฏขึ้นของประเทศกำลังพัฒนาอย่างมีประสิทธิผล และสามารถนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีใหม่ในประเด็นด้านการค้า การลงทุนและเทคโนโลยีอย่างทันท่วงทีหลังจากมีการเปลี่ยนรัฐบาล