การประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12

การประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12

วันที่นำเข้าข้อมูล 1 พ.ค. 2555

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562

| 4,333 view

การประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12 (UNCTAD XII)

ภาพรวมของการประชุม

การประชุม UNCTAD เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี โดยไทยเคยเป็นเจ้าภาพการประชุม UNCTAD ครั้งที่ 10 ในปี 2543 ที่กรุงเทพฯ การประชุม UNCTAD ครั้ง ที่ 12 มีผู้นำประเทศต่างๆ อาทิ กานา บราซิล ฟินแลนด์ รวันดา เซียร่า ลีโอน แทนซาเนีย รองประธานาธิบดีเวเนซุเอลา รวมทั้งเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก และผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิก 192 ประเทศ ตลอดจนผู้แทนจากสถาบันการเงิน องค์การระหว่างประเทศ ภาคธุรกิจ และประชาสังคมเข้าร่วม การประชุมประกอบด้วย (1) การประชุมหลัก (main events) ระหว่างวันที่ 20 – 25 เมษายน 2551 (2) การประชุม World Investment Forum ระหว่างวันที่ 18 – 22 เมษายน 2551 และ (3) การประชุม Civil Society Forum ระหว่างวันที่ 17 – 25 เมษายน 2551

          พิธีเปิดการประชุม นาย Ban Ki-Moon เลขาธิการ สหประชาชาติ กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญปัญหาสำคัญ ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย วิกฤตอาหารและความมั่นคงด้านพลังงาน การดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และเรียกร้องให้การเจรจารอบโดฮาบรรลุผลสำเร็จ ส่วนนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการ UNCTAD ให้ ความสำคัญกับการดำเนินการให้ประเทศสมาชิกได้รับประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างเท่าเทียมกัน การแก้ไขวิกฤตราคาอาหารโดยการเพิ่มการศึกษาวิจัยด้านการเกษตรเพื่อเพิ่มผล ผลิต การเร่งผลักดันการเจรจาการค้ารอบโดฮาให้บรรลุผล ตลอดจนให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องการให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (GSTP) และการปรับปรุงบทบาทและความสามารถของ UNCTAD ในการช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาจัดการกับกระบวนการโลกาภิวัตน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

หัวข้อการประชุม

หัวข้อหลักของการประชุม คือ Addressing the opportunities and challenges of globalization for development ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและการหาฉันทามติในด้านการดำเนินนโยบาย เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งด้านการค้า การลงทุนให้มีความสอดคล้อง (coherence) เพื่อจัดการกับกระแสโลกาภิวัตน์ให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบทางลบที่มีต่อการพัฒนา โดยประกอบด้วย 4 หัวข้อย่อย (sub-theme) ได้แก่

  1. ส่ง เสริมความสอดคล้องในการกำหนดนโยบายระดับโลกเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่าง ยั่งยืนและการลดปัญหาความยากจน รวมถึงการใช้ความร่วมมือระดับภูมิภาค (Enhancing coherence at all levels for sustainable economic development and poverty reduction in global policymaking, including the contribution of regional approaches)
  2. ประเด็นด้านการค้าและการพัฒนาที่สำคัญ และความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใหม่ในระบบเศรษฐกิจโลก (Key trade and development issues and the new realities in the geography of the world economy)
  3. ส่ง เสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในทุกระดับเพื่อสร้างขีดความสามารถในการผลิต การค้า และการลงทุน เน้นการระดมทรัพยากรและใช้ประโยชน์จากความรู้เพื่อการพัฒนา (Enhancing the enabling environment at all levels to strengthen productive capacity, trade and investment: mobilizing resources and harnessing knowledge for development)
  4. สร้างความเข้มแข็งให้ UNCTAD ส่งเสริมบทบาทด้านการพัฒนา การสร้างผลกระทบ และความมีประสิทธิภาพของสถาบัน (Strengthening UNCTAD; enhancing its development role, impact and institutional effectiveness)

 

บทบาทของไทยในการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12

1. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

            ได้เสด็จฯ เยือนกานาระหว่างวันที่ 20 – 24 เมษายน 2551 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีกานา และได้ทรงเข้าร่วมการประชุม UNCTAD ครั้งที่ 12 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของเลขาธิการ UNCTAD โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานพระราชดำรัสในฐานะองค์ปาฐกในการประชุมโต๊ะกลมที่ 5 ในหัวข้อการแสวงประโยชน์จากองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา มี สาระสำคัญเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ทรงริเริ่มนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารมาใช้สำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ในประเทศ เพื่อยกระดับความรู้ ชีวิตความเป็นอยู่และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับประเทศและประชาชน โดยทรงแนะนำให้

  1. UNCTAD และ องค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างครบถ้วนรอบด้านและเรียน รู้จากประสบการณ์ในการพัฒนาซึ่งกันและกัน แสวงหาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และแบ่งปันความรู้โดยเผยแพร่ผ่านการประชุม สิ่งตีพิมพ์ และเว็บไซต์
  2. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
  3. กระจาย สังคมข่าวสารไปสู่พื้นที่ห่างไกล โดยดำเนินนโยบายระดับประเทศอย่างเหมาะสมและรอบคอบเพื่อลดช่องว่างความแตก ต่างของสังคมเมืองและสังคมชนบท
  4. สนับ สนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี กลไกการถ่ายทอดทางเทคโนโลยี และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลกานารู้สึกซาบซึ้งและชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเข้าร่วมการประชุม ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงบทบาทของไทยในการสนับสนุนงานของสหประชาชาติแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกานาด้วย

 

2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

            เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และได้รับเลือกเป็นรองประธานของที่ประชุม UNCTAD XII ตลอดจนได้เข้าร่วมการประชุมและกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสำคัญ 3 รายการ ได้แก่

  • การอภิปรายทั่วไป เพื่อให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการกับความท้าทายของกระบวนการโลกาภิวัตน์ สภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเสนอให้มีการปฏิรูประบบการเงินระหว่างประเทศให้มีความมั่นคงและเอื้อต่อ การพัฒนา ผลักดันให้การเจรจาการค้ารอบโดฮาประสบความสำเร็จ และการแก้ไขปัญหาเรื่องปัญหาพลังงานและความมั่นคงทางอาหาร โดยการเพิ่มความช่วยเหลือด้านวิจัยและการพัฒนา การถ่ายทอดทางเทคโนโลยี และความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา เสนอแนะเรื่องการนำหลักการเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง จากกระแสโลกาภิวัตน์ของประเทศกำลังพัฒนา แบ่งปันประสบการณ์การแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ และกล่าวถึงบทบาทของไทยในการให้ความร่วมมือและช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน และสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้ UNCTAD ใน ด้านความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อให้สามารถรวมตัวเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกใช้ประโยชน์จากสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้า และการพัฒนา (ITD) ซึ่งจัดตั้งขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง UNCTAD กับ รัฐบาลไทย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรในภูมิภาคเอเชียในเรื่องการค้า การลงทุน และการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนา

 

 

  • การประชุมรัฐมนตรี GSTP เพื่อ ยืนยันการสนับสนุนของไทยและความมุ่งมั่นที่จะเจรจาระบบการให้สิทธิพิเศษทาง การค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี 2551 เพื่อส่งเสริมความให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
  • การประชุมประชุมโต๊ะกลมที่ 4 กล่าวถึงแนวโน้มเรื่องการค้าระหว่างกำลังประเทศพัฒนาที่เป็นแหล่งที่มาของ การเงินเพื่อการพัฒนา ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและวิชาการของประเทศกำลังพัฒนาเพื่อการพัฒนา โดยประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่การรวม ตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระหว่างภูมิภาคโดยเสนอข้อคิดเห็นในการอภิปราย ว่า ควรส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา ยืนยันการสนับสนุนของไทยต่อภูมิภาคแอฟริกาในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนา ตลอดจนกล่าวถึงบทบาทไทยในกรอบความร่วมมือกับอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน และสนับสนุนบทบาทของ UNCTAD ในการทำงานเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

 

3. การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารและจัดการประชุมระหว่างประเทศแก่กานา

            โดยที่การประชุม UNCTAD 10 ที่กรุงเทพฯ เมื่อ ค.ศ. 2000 ประสบ ความสำเร็จด้วยดีและไทยมีประสบการณ์จัดการประชุมระหว่างประเทศขนาดใหญ่อย่าง ต่อเนื่องหลายครั้ง กานาจึงขอรับการสนับสนุนจากไทยเกี่ยวกับการจัดการประชุมระหว่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศกานาและคณะเยือนไทย เมื่อวันที่ 11-14 ธันวาคม 2550 เพื่อศึกษาดูงานในด้านดังกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญบริษัท N.C.C. Management and Development จำกัด ซึ่งบริหารจัดการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เดินทางไปให้คำแนะนำผู้บริหารจัดการศูนย์การประชุมของกานาที่กรุงอักกรา ระหว่างวันที่ 18 – 22 กุมภาพันธ์ 2551

 

สรุปผลการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12  

1. ประเด็นสำคัญในการประชุม

  1. ปัญหา วิกฤตการณ์ด้านอาหารซึ่งเป็นผลมาจากระบบการบริหารจัดการทรัพยากร นโยบายด้านการค้าและการลงทุนที่บิดเบือนศักยภาพในการผลิตอาหารของประเทศ กำลังพัฒนา รวมทั้งผลกระทบจากการผลิตพืชพลังงานและปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  2. การรับมือกับปัญหาที่เกิดใหม่ เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ความมั่นคงด้านพลังงาน และการโยกย้ายถิ่นฐาน โดยเน้นผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนา
  3. การหารือเรื่องการส่งเสริมและปฏิรูปบทบาทของ UNCTAD
  4. ปัญหาความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจโลกและแนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงินและระบบการเงินระหว่างประเทศ

 

2. การประชุมโต๊ะกลม

  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 1 หารือ เรื่องผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อการพัฒนา สังคม ประชาชน และการแก้ไขความยากจน และความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ที่ประชุมฯ เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็นที่ลดความแตกต่างทางสังคม แต่ต้องเป็นการเติบโตที่มีคุณภาพที่แก้ไขปัญหาสำคัญของสังคมอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทและสถานะของผู้หญิง การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการศึกษา
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 2 หารือ เรื่องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่ง ประกอบด้วยการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบที่เอื้อต่อการขยายการค้าการลงทุน และการมีโครงสร้างด้านสถาบันรองรับการพัฒนาการค้าการลงทุนที่เหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ และธรรมาภิบาลในภาครัฐ ทั้งนี้ เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศซึ่งเป็นที่มาของการถ่ายทอดทาง เทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 3 หารือ เรื่องสินค้าโภคภัณฑ์ (พลังงาน โลหะ และเกษตร) และให้ความสำคัญเรื่องวิกฤตราคาอาหารที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศและการเปลี่ยนแปลงการผลิตเกษตรอาหารเป็นเกษตรพลังงาน รวมทั้งการเก็งกำไรสินค้าเกษตรเหล่านั้น ที่ประชุมฯ เสนอแนะให้มีการหารือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อบูรณาการนโยบายการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ในยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับประเทศ ภูมิภาค และระหว่างประเทศ และผลักดันการเจรจารอบโดฮาให้ประสบความสำเร็จ
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 4 หารือความร่วมมือด้านการค้าและการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนาเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจา GSTP ให้ สำเร็จเพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมการค้า ความร่วมมือของประเทศกำลังพัฒนาเป็นการสร้างโอกาสจากการการเติบโตและสภาพแวด ล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนของประเทศกำลังพัฒนา และมีความท้าทายคือการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ทั้งนี้ ข้อจำกัดที่สำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ที่ประชุมฯ เห็นว่า ควรส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของทุกภาคส่วนและองค์การระหว่างประเทศ นโยบายการลงทุนที่เหมาะสม การจัดระบบกฏเกณฑ์การค้าที่มีมาตรฐานเหมาะสม และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 5  หารือ เกี่ยวกับบทบาทขององค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ทรงริเริ่ม นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้สำหรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ในประเทศ   เพื่อยกระดับความรู้ ชีวิตความเป็นอยู่และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับประเทศและประชาชน โดยได้ทรงร่วมพระราชทานข้อคิดเห็นในช่วงการอภิปรายเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี ในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรอีกด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้อภิปรายถึงบทบาทขององค์ความรู้ เทคโนโลยีการสื่อสาร (ICT) และ นวัตกรรมซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและเสริมสร้าง คุณภาพชีวิตของประชาชน และประเด็นความท้าทายในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือการลดช่องว่างด้านเทคโนโลยี (digital divide) ทั้ง ในระดับประเทศ ภูมิภาค โดยรัฐควรให้ความสำคัญต่อนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมโดยเน้นเรื่องการดำเนินการ ตามแนวทางที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงแนะนำให้เริ่มจากโครงการขนาดเล็ก และเมื่อประสบความสำเร็จจึงขยายโครงการต่อไป การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการส่งเสริมศักยภาพด้าน ICT สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมทั้งความร่วมมือระหว่างประเทศ การส่งเสริมการแข่งขันด้านการผลิตและการบริการด้าน ICT
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 6 ที่ ประชุมฯ แลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการบริหารจัดการหนี้สินของประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เพื่อลดอุปสรรคของการพัฒนา และช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสร้างศักยภาพในการค้าเพื่อการพัฒนาด้วยตนเอง
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 7 ต่อ เนื่องกับการบริหารจัดการหนี้สิน ประเทศกำลังพัฒนาต้องได้รับการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพในภาคการผลิตโดยมี กลไกที่การให้ความช่วยเหลือของประเทศและองค์การระหว่างประเทศร่วมกัน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาในภาคการผลิต
  • การประชุมโต๊ะกลมที่ 8 และ 9 เน้นเรื่องการสร้างเสริมประสิทธิภาพการทำงานและความเข้มแข็งของ UNCTAD ใน การทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ให้แก่ประเทศสมาชิก โดยการสร้างความชัดเจนในประเด็นที่อังค์ถัดสามารถมีบทบาทนำ ส่งเสริมการทำงานที่เกื้อกูลและสอดคล้องแต่ไม่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานในระบบ สหประชาชาติ โดยมีเป้าหมาย ยุทธศาสตร์และแผนงานที่ชัดเจน รวมทั้งการมีกลไกในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลความช่วยเหลือด้านวิชาการ อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังยืนยันบทบาทหลักของอังค์ถัดทุกด้านกระบวนการโลกาภิวัตน์ การพัฒนา และการลดความยากจน

           

3. ผลลัพธ์การประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 12

                ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม 2 ฉบับ คือ

  • แถลงการณ์อักกรา (Accra Declaration) ซึ่ง เป็นเอกสารแสดงเจตนารมย์ทางการเมืองของประเทศสมาชิก สรุปได้ว่า ประเทศสมาชิกมีความเห็นร่วมกันว่า ควรมีการดำเนินการเพื่อให้มีระบบการค้า การเงิน การลงทุนที่สมดุลและเป็นธรรม เพื่อเสริมสร้างการแสวงโอกาสในประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัฒน์อย่างเท่าเทียม และคลอบคลุม เพื่อบรรลุ MDGs โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยให้ความสำคัญกับปัญหาวิกฤตราคาอาหารและการเพิ่มประสิทธิผลในการผลิต สินค้าอาหารของประเทศกำลังพัฒนา การผลักดันการเจรจาการค้ารอบโดฮา การมีส่วนร่วมของประเทศกำลังพัฒนาในระบบการเงินและการค้าระหว่างประเทศ การบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างความเข้มแข็งให้ UNCTAD ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาในการรวมตัวเข้ากับระบบ เศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

  • ปฏิญญาอักกรา (Accra Accord) เป็นเอกสารที่ระบุแนวทางความร่วมมือของประเทศสมาชิกและการดำเนินงานของ UNCTAD เพื่อจัดการกระบวนการโลกาภิวัตน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนา ตามที่ประเทศสมาชิกได้แสดงเจตนารมย์ไว้ในแถลงการณ์อักกรา

 

 

4. ผลการประชุมคู่ขนาน

ในระหว่างการประชุม UNCTAD ครั้งที่ 12 ที่สำคัญ ได้แก่

  • การประชุมรัฐมนตรีกลุ่ม 77 และจีน

ที่ประชุมรับรองปฏิญญารัฐมนตรีกลุ่ม 77 เพื่อยืนยันท่าทีร่วมกันของประเทศกำลังพัฒนาเรื่องการบรรลุ MDGs ในปี ค.ศ. 2015 และ การติดตามผลการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการระดมทุนเพื่อการพัฒนา การปฏิรูประบบการเงินระหว่างประเทศ การผลักดันการเจรจาการค้ารอบโดฮาให้บรรลุผลสำเร็จ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องการเจรจา GSTP ความร่วมมือระหว่าง ประเทศกำลังพัฒนากับประเทศพัฒนาแล้ว ความช่วยเหลือเพื่อการค้า การส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจของสถาบันการ เงินระหว่างประเทศ การดำเนินความร่วมมือในการแก้ไขวิกฤตราคาอาหาร และเสนอแนะให้ UNCTAD มีบทบาทในประเด็นเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การโยกย้ายถิ่นฐาน

  • การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสและรัฐมนตรีเรื่องการเจรจาระบบสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (Global System on Trade Preferences – GSTP)

ที่ ประชุมได้พยายามหาข้อสรุปในการกำหนดรายละเอียดของรูปแบบ แนวทางและระดับการลดภาษี รายการสินค้าที่ต้องลดภาษี และกฎระเบียบด้านการค้า เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงตลาดและการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาอย่างเป็น รูปธรรม ที่ประชุมยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้แต่เริ่มมีความเห็นในทิศทางใกล้เคียงกันและแสดงความยืดหยุ่นในการเจรจามากขึ้น และยืนยันที่จะให้มีการเจรจาหาข้อสรุปให้ได้ภายในปี 2551

  • การประชุม World Investment Forum

การประชุม World Investment Forum ระหว่างวันที่ 19 – 20 เมษายน 2551 ที่กรุงอักกรา สาธารณรัฐกานา มีผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ และภาคเอกชนเข้าร่วม สรุปผลได้ดังนี้

  1. Session 1: Prospects for global FDI and new business opportunities

ที่ประชุมฯ เห็นว่า แม้การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) จะ มีความเสี่ยงแต่ก็ยังมีอนาคตที่ดี ประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มจะเพิ่มการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาเนื่องจากเป็น แหล่งสร้างกำไร รูปแบบของการลงทุนในแต่ละภูมิภาคก็มีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเรื่องผลกระทบของวิกฤตสินเชื่อ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจเป็นอุปสรรคต่อ FDI ได้แก่ การกีดกันทางการค้า ปัญหาเงินเฟ้อ และความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาค

  1. Session 2: Global value chains: Opportunities and challenges for international and domestic firms

ที่ประชุมฯ ได้หารือเรื่องโอกาสและความท้าทายในการเข้าร่วมห่วงโซ่การสร้างมูลค่าในระดับโลกของ SMEs และ บรรษัทข้ามชาติ โดยยกตัวอย่างประสบการณ์ของภาคเอกชน ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า รัฐบาลมีบทบาทในการกำหนดแนวนโยบายที่ดี ส่วนหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน (IPA) มีบทบาทในการช่วย SMEs พัฒนายุทธศาสตร์เพื่อสร้างโอกาสในตลาดโลก ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ การส่งเสริมโครงการความเชื่อมโยงทางธุรกิจและความเป็นหุ้นส่วนระหว่าง SMEs กับบรรษัทข้ามชาติ และการถ่ายทอดทักษะและเทคโนโลยี

  1. Session 3: A new emerging market for FDI

ที่ประชุมฯ เห็นว่า ภูมิภาคแอฟริกามีโอกาสดีที่จะได้รับ FDI เพิ่มขึ้นอีกมาก แต่ก็ยังมีอุปสรรคซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยวิธี 3-I คือ 1) ปรับปรุงสถาบันภายในประเทศ (Institution) 2) ปรับปรุงสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และ 3) เพิ่มการบูรณาการในภูมิภาค (Integration) นอกจากนี้ ประเทศในแอฟริกาควรสนับสนุนการศึกษา โดยเฉพาะด้าน ICT และส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของบรรษัท ส่วนประเทศที่มีทรัพยากรน้อยและไม่มีทางออกทางทะเลก็สามารถดึงดูด FDI ได้ หากมีนโยบายด้านการเงินและด้านการค้า/การลงทุนที่ดี และมีการปรับปรุงกฎระเบียบ

  • การประชุม World Investment Forum ในหัวข้อความช่วยเหลือเพื่อการค้าจากมุมมองของภูมิภาคต่างๆ

ที่ ประชุมฯ เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมความช่วยเหลือเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามี ศักยภาพเข้าร่วมในระบบการค้าของโลก และสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน โดยประเทศกำลังพัฒนาในแต่ละภูมิภาค จำเป็นต้องระบุความต้องการของตนให้ชัดเจนเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการปรับ ปรุงนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมและตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประเทศ และสามารถปรับตัวรับกระแส   โลกาภิวัตน์ได้

  • การประชุม Civil Society Forum

                  ที่ประชุมฯ ประกอบด้วยผู้แทนจากภาคประชาสังคม อาทิ กลุ่ม NGO ด้าน การพัฒนา ด้านการเพิ่มบทบาทสตรี สหภาพแรงงาน องค์การด้านการเกษตร องค์การด้านสิ่งแวดล้อม ได้หารือในกรอบการประชุมภาคประชาสังคมของการประชุม UNCTAD ครั้ง ที่ 12 ระหว่างวันที่ 17-19 เมษายน 2551 ถึงแนวความคิดด้านการค้า การลงทุน นโยบายการแข่งขัน และบทบาทของนโยบายเหล่านี้ต่อการพัฒนา โดยที่ประชุมฯ ให้ความสำคัญกับประเด็นวิกฤตด้านการเงินและวิกฤตราคาสินค้าอาหารและการขาด แคลนอาหาร โดยชื่นชมบทบาทของ UNCTAD ในการให้คำแนะ นำด้านนโยบายต่อสถาบันการเงินระหว่างประเทศในการแก้ไขวิกฤตการเงิน และได้เรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วเลิกใช้นโยบายการสนับสนุนด้านสินค้าเกษตร และการปรับเปลี่ยนนโยบายระดับประเทศและในกรอบ WTO IMF และธนาคารโลก นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เรียกร้องให้ UNCTAD ผลักดัน policy space สำหรับประเทศกำลังพัฒนา การผลักดันการเจรจาการค้ารอบโดฮา และ การส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (inclusive development) อันจะนำมาซึ่งการจ้างงาน และการลดความยากจน

  

5. ประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมการประชุม

  1. แสดง บทบาทของไทยในเวทีสหประชาชาติเพื่อให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการกับระบบ เศรษฐกิจระหว่างประเทศที่จะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและการพัฒนาอย่างเป็น รูปธรรม
  2. เป็น โอกาสในการกระชับและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนากับประเทศสมาชิก อื่นๆ ทั้งในกรอบของการประชุมต่างๆ และในการหารือทวิภาคีในระหว่างการประชุม
  3. เป็นโอกาสในการกระชับและขยายความร่วมมือกับ UNCTAD ในด้านวิชาการเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรภาครัฐและเอกชนไทยใน ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินการตามความตกลงการค้าและการลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ พัฒนา
  4. ได้ หารือทวิภาคีกับผู้นำและผู้แทนประเทศสมาชิกและองค์การระหว่างประเทศ เพื่อขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความร่วมมือทางวิชาการ
  5. การผลักดันให้การเจรจารอบโดฮาประสบผลสำเร็จจะทำให้เกษตรกรไทยสามารถส่ง ออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศพัฒนาแล้วได้มากขึ้น การเสริมสร้างขีดความสามารถการค้า การลงทุนและบริการ ทำให้เอกชนไทยมีความสามารถในการส่งสินค้าและดำเนินธุรกิจได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น